วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความจำสั้น แต่รักฉันยาว



“ความจำสั้น..แต่รักฉันยาว” เรื่องราวความรักของลุงจำรัส (กฤษณ เศรษฐธำรงค์) กับ ป้าสมพิศ (ศันสนีย์ วัฒนานุกูล) ตัวแทนความรักที่อยากจำกลับลืม ลุงกับป้า เป็นคู่รักที่พบกันในชมรมคอมพิวเตอร์เพื่อผู้สูงอายุ ทุกๆ อาทิตย์ลุงจะขับรถจากสวนที่ชุมพรมาเรียนกับป้าที่กรุงเทพฯ เพียงเพื่อจะอยู่ด้วยกันครั้งละ 3 ชั่วโมง นั่นเพราะลูกป้าไม่เห็นด้วยที่แม่ริมีรักใหม่ในวัยนี้ ทันทีที่รู้ว่าครอบครัวจะย้ายไปเมืองนอก ป้าตัดสินใจฮึดหนีลูกไปหาลุงที่ชุมพร โดยที่ไม่รู้ว่าวันและวัยเป็นอีกแรงที่กำลังพรากทั้งคู่ออกจากกัน
ฉากที่ป้าสมพิศหนีลูกไปหาที่ลุงที่สวนผลไม้ ผู้กำกับ สิน-ยงยุทธ ยกกองไปถ่ายทำที่บ้านสวน จ.จันทบุรี ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่น ใต้ต้นชมพู่มะเหมี่ยว ลุงจำรัส กับ ป้าสมพิศ กำลังกระหนุงกระหนิงนั่งกินทุเรียนกันอย่างเอร็ดอร่อย เก่ง (เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ) และ ฝ้าย (ญารินดา บุนนาค) รีบบึ่งรถจากกรุงเทพเพื่อมาตามป้าสมพิศกลับบ้าน เพราะลูกของป้าสมพิศกำลังตามหาป้าสมพิศที่หายตัวไป เก่งเลยขออาสามาตามป้าสมพิศกลับบ้าน
ฉากนี้ญารินดาต้องขับรถกระบะพาเป้มาที่บ้านลุง ท่ามกลางแสงตอนเย็นที่กำลังสวย ทันทีที่ญารินดาจอดรถ เป้ก็เดินตามลงมาพร้อมเจ้าสุนัขแสนรู้ สะพานลอย หมามีคิ้วของฝ้ายที่สร้างรอยยิ้มให้กับ 2 นักแสดง และทีมงานในกองถ่าย เป้เห็นลุงกับป้ากำลังกินทุเรียนกันอย่างเอร็ดอร่อย เป้กับญารินดาเลยตามมาสมทบด้วย ญารินดานึกสนุกคิดแกล้งเป้ เลยเอาทุเรียนที่เป้แสนเกลียดป้ายปาก ตามบทในเรื่องนั้น เก่งแสนจะเกลียดทุเรียน แต่ในชีวิตจริงทุเรียนคือผลไม้สุดโปรดของเป้ ขณะที่ญารินดากลับเหม็นทุเรียนแบบสุดๆ แต่ต้องทนกินทุเรียนไปตามบท เพื่อสปิริตของนักแสดง

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สายลับจับบ้านเล็ก




เรื่องย่อ
เบื้องหลังกิจการซ่อมทีวีที่เปิดไว้บังหน้า จ๊อก (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) เป็นนักสืบมือใหม่หน้าละอ่อนที่มีจุดขายไม่เหมือนใครในย่านรามคำแหง
คนอื่นสืบหนี้ สืบหมาหนี สืบคนหาย แต่จ๊อกสืบ “ บ้านเล็ก”!!
เปล่า จ๊อกไม่ได้ฝันอยากเห็นครอบครัวใครๆ สงบสุข ไม่ได้อยากผดุงคุณธรรม แต่จ๊อกกำลังร้อนเงินสาหัสเพราะอุตริออกไอเดียบรรเจิดเปิดร้านหมูกระทะพลังแสงอาทิตย์ตอนหน้าฝน ผลคือเจ๊งตูดบาน โดนแก๊งทหารนอกราชการตามทวงหนี้ยิกๆ จ๊อกจึงต้องผันตัวเองมาเป็นนักไล่จับบ้านเล็ก - บ้านใหญ่ โดยมีไอ้แจ๊ค (แจ๊ค-เฉลิมพล) เด็กร้านซ่อมมอไซค์ที่เข้าใจว่าจ๊อกเป็นนักสืบชื่อดัง กับ ฤทัย (โอปอล์– ปณิสรา) เจ๊ร้านคาราโอเกะที่ชอบมาแทะโลมจ๊อกคอยเป็น “ ตัวช่วย” ยามจำเป็น แม้จะรู้ดีว่าอาชีพนักจับบ้านเล็กมันขัดกับนิสัยใจละลายเป็นช็อกโกแล็ตตากแดดเวลาเห็น ผู้หญิง สวยๆ ของตัวเองชะมัด
แล้วไม่รู้ทำไม น้องหนูบ้านเล็ก 99.99 เปอร์เซ็นต์ ต้องหน้าใสกิ๊ง ดีดดิ้น เร้าใจ ขนาดทำให้ผู้ชายเห็นช้างตัวเท่าหมู เห็นเรื่องหนี้เป็นเรื่องขี้ๆ ทุกที
ความจริงข้อนี้ถือเป็นด่านหินสำหรับจ๊อกทุกครั้งที่ออกปฏิบัติงาน โดยเฉพาะคดีล่าสุด เล่นเอาจ๊อกสมองระบม เรื่องมันเริ่มจากคุณนายอรัญญา(จิ๊บ-จารุภัส) ผู้ว่าจ้างรายใหม่เสนอเงินก้อนโตให้จ๊อกตามจับพฤติกรรมหัวงูของ สารวัตรวศิน (ปั๋ง-ประกาศิต) สามีจอมชิ่งที่ไปติดพัน พริตตี้สาวชื่อเสียวฟันว่า น้องน้ำปั่น (พีค-ภัทรศยา) ใครจะไปรู้ว่าน้องน้ำปั่น เป้าหมายตัวดีดันแอบมีกิ๊กเป็นเสี่ยอดิสรณ์ (สุเมธ องอาจ) เสี่ยเต็นท์รถรายใหญ่อยู่อีกคน
คดีส่อเค้ายุ่งเหยิงยิ่งขึ้น เมื่อคุณหญิงสุวิมล (ท็อป-ดารณีนุช) ภรรยาไฮซ้อของเสี่ยอดิสรณ์จ้าง สุทิน (นิมิต ลักษมีพงศ์)นักสืบมือโหดมาตามแบล็กเมล์น้ำปั่นอีกต่อหนึ่ง จ๊อกตัดสินใจยื่นมือเข้าช่วยเพราะนอกจากค่าจ้างกับโบนัสจะล่อใจแล้ว งานนี้ยังถือเป็นการวัดฝีมือกันระหว่าง สุทินนักสืบอุปกรณ์ไฮเทคฯ กับ จ๊อกนักสืบบ้าแก๊ตเจ็ตบ้านหม้อ ที่โคจรมาทับเส้นกันโดยบังเอิญ
ทั้งๆ ที่คดีนี้มันสุดเสี่ยงต่อการแหกกฎเหล็ก “ ห้ามหลงรักเป้าหมาย” แค่ไหน แต่จ๊อกก็อดใจไม่ไหวต้องโดดเข้าใส่ ราวกับคนหลงทางกลางทะเลทรายเจอน้ำแข็งใสใส่แก้วมาวางยั่ว
ก็นั่นดิ นักสืบหัวใจอ่อนไหวอย่างจ๊อกนะหรือจะทานเสน่ห์น้ำปั่นแก้วนี้ไหว
ก็แค่ชื่อ แม่คุณยังน่าดูดปรื้ดเดียว ให้เย็นจี๊ดถึงสมอง!
ข้อมูลจาก http://www.thaicinema.org/kit65sailab.asp

แฝด








ทั่วทุกมุมโลก ล้วนแต่มีการพยายามผ่าตัดแยกแฝดสยามออกจากกันส่วนใหญ่เพื่อช่วยชีวิตคนหนึ่งคนใดคำถามที่เกิดขึ้นในใจทุกครั้งที่อ่านข่าวเหล่านี้ก็คือเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่งไว้ ใครควรเป็นคนเลือกและถ้าถึงเวลาต้องตัดสินใจทิ้งคนใดคนหนึ่งไป เราจะทิ้งใคร
NO ONE WANTS TO BE .....alone
เธอเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของฉัน เป็นความฝันส่วนหนึ่งของฉันไม่มีทางที่ฉันทอดทิ้งเธอไป ไม่มีวันไหนจะพรากจากกัน


เรื่องย่อ
อิหร่าน : กรกฎาคม 2546การผ่าตัดมาราธอน 50 ชั่วโมงล้มเหลว ทีมแพทย์ 28 ชีวิต และผู้ช่วยอีก 100 คน ไม่สามารถยื้อชีวิตของแฝดสกุลไบจานี แฝดสยามชาวอิหร่านวัย 29 ไว้ได้ หลังการพยายามผ่าตัดแยกศรีษะของทั้งคู่ ลาดานเสียชีวิตทันที และในอีก 90 นาทีต่อมา ลาเลห์ก็สิ้นลมตามพี่สาว
ออสเตรเลีย : พฤษภาคม 2544เบ็ททานี โนแลน แฝดสยามที่เกิดมาโดยไม่มีไต เสียชีวิตจากการผ่าตัดแยกศรีษะ และเยื่อสมองของเธออลิสสา โนแลน พี่สาว
บราซิล : ธันวาคม 2543ดิเอโก้ กับ ดิโอโก้ ฝาแฝดบราซิลวัย 10 วัน ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วนหลังคลอด ทีมแพทย์ระบุว่าในการผ่าตัดครั้งนี้ ทารกคนใดคนหนึ่งต้องเสียสละตับ เพื่อให้อีกคนมีชีวิตรอดต่อไป
กรุงเทพ : มีนาคม 2540แฝดสยามไทยรอดหนึ่ง ภายหลัง 20 ชั่วโมงในห้องผ่าตัดและอีก 34 ชั่วโมงในอาการโคม่า พิมและพลอย แฝดหญิงตัวติดวัย 15 ที่เข้ารับการผ่าตัดแยกท่องช้องและกระเพาะอาหารเป็นคู่แรกในเมืองไทย ผลปรากฏว่า พิมพี่สาวพ้นขีดอันตรายแล้ว ส่วนคนน้องนั้นเสียชีวิต
หลังพลอยตาย พิมเลือกที่จะละทิ้งความเจ็บปวด และความรู้สึกผิดไว้เบื้องหลัง หนีไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เกาหลี ชีวิตของพิมพคนดำเนินต่อไปอย่างมีความสุขกับผู้ชายที่เธอเลือก ถ้าเสียงโทรศัพท์ในกลางดึกคืนหนึ่ง จะไม่ดึงให้เธอต้องห้วนกลับมาพบความหลังที่เธอทั้งผูกพัน และกลัวสุดขั้วหัวใจ
ข่าวจากเมืองไทยแจ้งว่า แม่ของเธอประสบอุบัติเหตุ พิมจึงรีบเดินทางกลับเมืองไทย แต่ทันทีที่เธอเหยียบย่างกลับเข้าบ้านหลังเก่า ความทรงจำในอดีตที่เธอแกล้งลืมมันไปก็ย้อนคืนมา
พิมกับพลอยเป็นแฝดสยาม



พิมยังจำวันที่เธอต้อง “ เชื่อมติด” กับพลอยด้วยก้อนเนื้ออัปลักษณ์ที่พันธนาการพวกเธอไว้ด้วยกันได้ดี เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นพิมเริ่มอึดอัด กับสภาพกึ่งตัวประหลาดนั่น ทำให้เธอร่ำร้องขอเข้ารับารผ่าตัดแยก แม้พลอยจะต่อต้านสุดชีวิต แต่การผ่าตัดเพื่อปลดทั้งคู่ออกจากกันก็เกิดขึ้น และผลของมันก็เลวร้ายสุดทน
ในบ้านหลังเดิมที่พิมเคยอาศัยสมัยเด็ก ข้าวของทุกอย่างของพิมและพลอยยังคงแน่นิ่งอยู่ในที่ของมัน รองเท้าเด็กสองคู่ ตุ๊กตาสองตัว เสื้อผ้าชุดติดกัน เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งไม่ไหลผ่านไป พิมเริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเก่า ๆ อีกครั้ง ความรู้สึกคล้ายมีคนอยู่ข้างกายตลอดเวลา ทุกลมหายใจ
คงจะดีกว่าถ้าพลอยจะเกลียดพิม จนไม่อยากกลับมาอยู่ข้าง ๆ ตัวพิมเหมือนเดิม
ทว่า ...พลอยยังคงอยู่ที่นี่ รอเธอและโกรธเธอ
หรือกระทั่งความตาย ก็ไม่อาจ แยก พลอยจากพิม


เบื้องหลังการถ่ายทำและการเตรียมงาน
ปี 2547 ชัตเตอร์ กดติดวิญญาน สร้างความสั่นสะท้านไปทั่ววงการภาพยนตร์ไทย และถือเป็นผลงานแจ้งเกิดให้กับผู้กำกับคู่หู โต้ง-บรรจง และ โอ๋-ภาคภูมิ ได้อย่างยอดเยี่ยม จากวันนั้นจนถึงวันนี้เกือบ 3 ปีแล้วที่เขาทั้งคู่ร่วมกันทำโปรเจกต์ใหม่ที่ใหญ่ขึ้นตามประสบการณ์ ด้วยความลงตัวที่เหมาะเจาะในการหวนกลับมารับงานแสดงภาพยนตร์อีกครั้งในรอบ 15 ปี ของชุปเปอร์สตาร์สาวเสียงคุณภาพ มาช่า วัฒนพานิช บวกทีมงานที่คุ้นเคยอย่าง GTH และผู้ร่วมผลิตที่มีรางวัลระดับโลกการันตีอย่างบริษัทฟีโนมีนา ร่วมด้วยบริษัท เดคดิเคท ผู้ผลิตภาพยนตร์อิสระน้องใหม่คุณภาพคับแก้ว ทำให้ภาพยนตร์เรื่องแฝด กลายเป็นภาพยนตร์ไทยอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกจับตามองตั้งแต่เริ่มโปรเจกต์
ผู้กำกับเปิดใจ “ หลังจาก จบการโปรโมท ชัตเตอร์ฯ ช่วงที่ตระเวณเดินสายไปรับรางวัลในงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศ เราก็เริ่มมีไอเดียเรื่องแฝดขึ้นมา ตอนแรกโอ๋เขามาเล่าว่าเจอข่าวในหนังสือพิมพ์
มีข่าวดังเรื่องแฝดสยามของไทยคนหนึ่งมีรูปร่างปกติ แต่อีกคนมีแค่หัว ไม่มีร่างกาย ความรู้สึกแรกที่เห็นจะคล้ายสัตว์ประหลาด แต่รูปนี้กระทบความรู้สึกมาก ทำไมถึงเกิดความน่ากลัวและน่าขนลุกขนาดนี้ ทั้งที่เด็ก2คนนี้หน้าตาน่ารักมากเหมือนกันทุกอย่าง มีแค่ตัวเท่านั้นไม่เหมือนกัน เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการทำหนังเรื่องนี้ หลังจากวันนั้นเราก็อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับแฝดสยามเยอะมาก เราศึกษาว่าแฝดสยามอิน-จัน และฝาแฝด เขาดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างไร หาข้อมูลทุกอย่างมานั่งดู แฝดทั่วไปเขาจะมีจิตผูกพันกัน มีเรื่องแปลกๆ ที่คนทั่วไปไม่รู้เกี่ยวกับแฝด เราก็คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าประเด็นเรื่องแฝดสยามอยู่ในหนัง Horror Drama เลยปิ๊งไอเดียเรื่องการผ่าตัดแยกกัน ถ้าคนหนึ่งเสียชีวิต จะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เหลืออยู่ เพราะเราเคยได้ยินความเชื่อที่เกี่ยวกับเรื่องฝาแฝดว่าเมื่อคนหนึ่งตายไป อีกคนหนึ่งก็จะตายโดนมีสาเหตุคลุมเครือ เป็นแค่ความเชื่อที่น่าสนใจมากเพราะมันมีความเชื่อมโยงบางอย่างที่น่ามหัศจรรย์ ”
เมื่อได้ไอเดีย ที่น่าสนใจแล้ว ผู้กำกับที่ไม่ใช่ฝาแฝดแต่ทำงานด้วยความรู้ใจกันยิ่งกว่าฝาแฝดก็รีบลงมือพัฒนาบทภาพยนตร์ทันที แต่ทุกอย่างก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อบทที่พวกเขาฟูมฟักมาตลอด 7 เดือนต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ “ ตอนแรกเราพัฒนาบทไปคล้ายๆ ชัตเตอร์ฯ เป็นหนังสืบสวนสอบสวน บทสนุก มีความเป็นพล็อตสูง พล็อตเด่นกว่าตัวละคร แต่เราก็กลับมาคิดว่าทำเรื่องใหม่ถ้าเป็นทางเดิมมันเหมือนย่ำอยู่กับที่ เราก็เลยคิดใหม่ทำใหม่ง าน 7 เดือนที่ผ่านมาก็ทิ้งเลยเริ่มต้นนับ 1 กันใหม่ เดือนแรกเราแทบเอาเท้าก่ายหน้าผากกันเลย แต่ว่าเราก็มากันถูกทาง เราทำหนังเกี่ยวกับแฝดสยาม ประเด็นเรื่องแฝดสยามมีอะไรน่าสนใจ เอามาเล่นเป็นมุขผีได้เยอะ ทางใหม่กว่า ท้าทายกว่า แตกต่างกว่า และน่าสนใจกว่า ”
ประเด็น การคัดเลือกนักแสดงก็นับเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะได้นักแสดงแถวหน้าอย่างมาช่ามารับบทนำ
“ ตัวละคร ตัวนี้มีสำคัญมากเพราะต้องเป็นตัวนำเรื่องที่ค่อนข้างมีพลัง เราต้องการคนที่มีศักยภาพสูงสามารถเอาหนังทั้งเรื่องอยู่ ในที่สุดก็มาลงตัวที่มาช่า เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถและเหมาะกับบทนี้ ประกอบกับเป็นช่วงที่เขาอยากกลับมาทำงานด้านภาพยนตร์อีกครั้ง ก็ถือว่าเป็นความเหมาะสมที่ลงตัวมาก พอเริ่มทำงานด้วยกันก็ไม่ผิดหวังเลย ยิ่งกว่าที่คิด ไว้ คิดว่าเขาสุดยอดแค่ไหน เขาให้ได้มากกว่านั้น มาช่าทุ่มเท ทำการบ้านอย่างหนัก พวกผมเขียนบทมาประมาณหนึ่ง แต่เวลากำกับจะมีทิศทางที่ชัดเจนพอสมควร แต่มาช่าเป็นคนที่ input ให้เราอีกหลายเท่า เขาเป็นคนเข้าใจหนังและช่วยคิดช่วยทำให้ดีกว่าเดิม หนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต จะมีการเล่าย้อนไปถึงวัยเด็กของมาช่ากับฝาแฝดเยอะมาก ซึ่งมาช่าเขาก็จะขอเทปช่วงวัยเด็กที่ถ่ายทำแล้วทั้งหมดไปดูด้วย เพื่อจะได้รู้เรื่องราวและตีความตามที่นักแสดงแฝดรุ่นเด็กเล่นไว้ ”


นอกจาก ซีนทางอารมณ์ต่างๆแล้ว แฝด ยังมีฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นเต้นอีกไม่น้อย แถมมาช่ายังออกตัวขอเล่นเองทุกฉากแบบไม่กลัวอันตรายเลยทีเดียว “ มีฉากที่มาช่าต้องขับรถชนแล้วต้องหัวกระแทกกับพวงมาลัย เราบอกให้กระแทกแบบพองาม ปรากฏว่า มาช่าเอาหัวกระแทกจริง คนอัดเสียงบอกว่าเสียงดังมาก แล้วเล่นไป 3 เทค เขาชนจริงหัวโนแดงมาก บางฉากแอ็คติ้งโค้ชเขาจะเตือนว่า มาช่าล้มไม่ได้นะ มันจะอันตรายมาก เจ็บมาก แต่มาช่าจะฟังว่าพวกผมต้องการอะไรไม่ร่วมเถียง พอเราบอกว่าโอเคพร้อมถ่าย สุดท้ายเขาทำอย่างที่พวกผมบอกอย่างที่พวกผมต้องการหมดทุกอย่าง บางทีเถียงกันอยู่ เขาก็จะช่วยแก้ปัญหาบอกว่าเดี๋ยวทำให้ ทั้งไฟไหม้ จมน้ำ เจ็บตัว หกล้ม ตกบันได ปกติเขาจะไม่เอานักแสดงหลักมาเล่นฉากเสี่ยงแบบนี้ มันอันตรายมาก มาช่าก็กลัวนะแต่เขาขอเล่น อยากให้งานออกมาดีที่สุด บางซีน อินเซิร์ทมือ อินเซิร์ทขา แต่ต้องใช้อารมณ์ต่อเนื่องจากการแสดง เห็นแค่มือยังรู้ว่าเขาเล่นดีมาก เขาเป็นสุดยอดแห่งความทุ่มเท ทุกครั้งที่เล่นจบ ทุกคนในกองจะปรบมือให้เสมอ ”
นับเป็น ความโชคดีของพวกเขา ที่ได้นักแสดงคุณภาพมาช่วยขับเคี่ยวให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้มข้นขึ้น แต่อีกหนึ่งอย่างที่ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าความสามารถของนักแสดง นั่นก็คือฉากต่างๆในภาพยนตร์ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี และก็นับเป็นโชคดีซ้ำซ้อนที่พวกเขามีโอกาสได้ร่วมงานกับโปรดักชั่นดีไซน์ระดับเซียน
“ บ้านที่สร้าง เราได้พี่ตั้ม (ศักดิ์ศิริ จันทรังษี) โปรดักชั่นดีไซน์ที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประประเทศผู้สร้างสรรค์ผลงานของภาพยนตร์เรื่อง Invisible wave ทวิภพ ฯลฯ มาทำบ้านให้ เรื่องนี้บ้านคือหัวใจและเป็นอดีตของตัวละคร ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนพระเอกอีกคนหนึ่ง จากบทต้องเป็นบ้านยุคโคโลเนียล สมัยยุครัชกาลที่ 7 ภายในตัวบ้านมี 10 ห้อง สร้างใหม่ทั้งหลังเซทใหม่ทั้งหมดสวยมากเขาต้องมานั่งคิดโครงการ เพราะมันไม่ใช่แค่สร้างบ้านธรรมดาต้องสวยและสามารถอยู่ได้จริงทุกห้อง ที่สำคัญต้องแข็งแรงด้วย เพราะมันต้องเผาจริง เผาแล้วต้องไม่ถล่ม ต้องเซฟนักแสดง และทีมงาน แต่สุดท้ายต้องเผ่าบ้านทิ้งทั้งหมด เพราะมีซีนไฟไหม้บ้านทั้งหลัง จะเห็นว่าบ้านเซทมาขนาดนี้ ไฟไหม้ก็ต้องเต็มที่ บางฉากไฟสวยซะจนมีคนถามว่าทำ ซีจีหรือเปล่า แต่ไฟในหนังเรื่องนี้เป็นไฟไหม้จริงทั้งหมด เราได้ทีมไฟมืออาชีพที่เคยทำ Black Hawk down – Hollywood มาทำให้ เราก็เลยได้ฉากไฟไหม้ที่อลังการ และยืนยันว่าไหม้จริง และตัวแสดงก็ต้องเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย ทุกคนต้องอยู่ในไฟและไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ที่จะมาควบคุมไฟได้ ต้องรอบคอบกันมากๆ ซึ่งพอตอนถ่ายทำจริงๆ บางคนไม่เคยเห็นไฟเยอะขนาดนี้มาก่อน ตากล้องแทบจะทิ้งกล้องกันเลย ถ่ายวันแรกผมเข้าไปนั่งอยู่ในห้องข้างๆ ที่จะถ่าย พอมันไฟมันไหม้ขึ้นมาแล้วมันร้อนมาก จนเราอยู่ไม่ได้ ทีมงานที่ไม่จำเป็นต้องออกมาจากเซททั้งหมด เหลือแต่ทีมที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เฉพาะฉากไฟไหม้อย่างเดียวก็ถ่ายทำกัน 6 - 7 วันแล้ว เห็นในหนังไม่นาน แต่ว่าถ่ายทำแต่ละ shot มันยากมาก ”
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีความยากและซับซ้อนมากยิ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าความยากเหล่านั้นไม่สามารถบั่นทอนความมุ่งมั่นของผู้กำกับรุ่นใหม่แต่คู่เก่าอย่างพวกเขาให้ลดน้อยลงได้ ตรงกันข้ามพวกเขายิ่งเพิ่มความท้าทายลงไปในงานของตัวเองมากขึ้น
“ สำหรับ หนังเรื่องนี้ ผมรับรองว่าคนที่เคยชอบชัตเตอร์ฯจะไม่ผิดหวังกับแฝด เพราะความสนุกบน ความระทึกขวัญและ ความตื่นเต้นที่เคยได้รับ ในเรื่องนี้ยังครบถ้วน เพียงแต่เราเพิ่มความลึกและความเข้มข้นของดราม่าเข้าไปอย่างเต็มที่ มันโตขึ้นในรายละเอียด ”
ถือว่า เป็นหนังที่รวมเอาความสุดยอดมาอยู่ร่วมกันได้มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนภาพยนตร์จะสุดยอดแค่ไหนพวกเขาพร้อมจะให้ทุกคนเข้าผ่าแยกผลงานของพวกเขาได้อย่างละเอียดแล้ว และไม่ว่าผลของการผ่าแยกจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็พร้อมที่จะฟังผลนั้นด้วยใจจดจ่อ


มาช่าเผยความยากลำบากกับบทบาทใหม่
ไม่ น่าเชื่อว่าผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว ที่นักแสดงมากความสามารถอย่าง มาช่า วัฒนพานิช ไม่ได้แสดงภาพยนตร์ ทั้งๆที่แจ้งเกิดมาจากภาพยนตร์ แต่กลับไปโลดแล่นและโดดเด่นในวงการเพลง จนกลายเป็นศิลปินที่มีเพลงฮิตติดปากคนทั้งประเทศมากที่สุดคนหนึ่ง การกลับมาแสดงฝีมือบทจอเงินครั้งนี้ จะเข้มข้น เข้าขั้น และฮิตติดตาคนทั้งประเทศได้มากแค่ไหน เธอพร้อมให้พิสูจน์
“ ช่า รับบทเป็นพิม บทบาทจะค่อนข้างโรคจิตเล็กๆ เพราะเกิดจากความกดดัน และความรู้สึกผิดที่ต้องผ่าตัดแยก จนทำให้แฝดอีกคนหนึ่งต้องสียชีวิต จนบางทีดูเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่อาจจะทำอะไรในมุมที่แปลกๆ เพราะฉะนั้นการแสดงระหว่างที่ถ่ายทำไม่ต้องคิดถึงซีนหัวเราะเลย มากที่สุดก็จะเป็นยิ้มแค่นั้น เพราะหนังมันจะตื่นเต้นตลอดเวลา แต่สิ่งที่ยากกว่าสำหรับตัวช่าคงเป็นเรื่องของการแสดงให้พร้อมกับเทคนิค นื่องจากหนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญ เพราะฉะนั้นมันจะต้องมีเทคนิคอะไรต่างๆเข้ามาประกอบด้วย แล้วพวกเทคนิคเหล่านี้จะค่อนข้างยาก ต้องใช้ความพร้อมและจังหวะเดียวกัน บางทีนักแสดงแสดงได้ แต่แสดงกับเอฟเฟกต์ไม่ได้ มันก็จะทำให้ทำงานยากขึ้น ในแง่ของการแสดงช่าไม่ได้ห่างหายไปไหน เพราะว่าช่าก็เล่นละครหรือทำอะไรอยู่ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งมาเจอหนังเรื่องนี้ช่ารู้สึกว่าน่าสนใจดี แล้วการกลับมาเล่นภาพยนตร์ ช่าพบว่ามันเปลี่ยนไปเยอะมาก รู้สึกว่ามันมีเสน่ห์มากขึ้นเพราะว่าแสงที่จัดหรือความละเอียดอ่อนเกี่ยวกับแสงและภาพมันสวยและให้ความรู้สึกจริงกว่า เป็นอะไรที่คลาสสิค รู้สึกว่าดีใจมากที่ตัวเองได้กลับมาเล่นภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่ง และยังได้ร่วมงานกับทีมงานมืออาชีพที่ทำด้วยแล้วมีความสุข แม้ว่ามันจะเหนื่อยมาก เพราะว่าช่านำเรื่องอยู่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่ามันก็เป็นความเหนื่อยที่ไม่ได้ทุกข์ใจแต่กลับทำให้รู้สึกมีความสุข ”
นอกจาก จะได้แสดงความสามารถแบบเต็มที่แล้ว มาช่า ยังต้องแสดงร่วมกับ อั๋น-วิทยา ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อภาพยนตร์เรื่องนี้


“ สำหรับ การแสดงกับคุณอั๋น-วิทยา เราก็เคยร่วมงานกันมาก่อนแต่ว่าเป็นมิวสิควีดีโอ ซึ่ง ระยะเวลามันสั้น ๆ เราก็จะยังไม่คุ้นเคยกันมากนัก แต่พอมาเล่นเรื่องนี้ เราต้องเล่นเป็นสามี-ภรรยา ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ต้องมีความสนิทสนมกัน ต้องซ้อมด้วยกันบ่อย ๆ เพื่อให้รู้สึกว่าการจับการสัมผัส การคุยอะไรกันต้องไม่เคอะเขิน สักพักหนึ่งพอเข้าทางกันได้ก็ยิ่งสนุก ถ้าถามว่าหนังจะให้อะไรบ้าง ช่าคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ได้เลยคือความสยอง ขวัญ แน่ ๆ เพราะมันเป็นเมนของหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว แล้วด้วยความที่ผู้กำกับ โต้ง-โอ๋ เขาเคยฝากผลงานอย่างชัตเตอร์ฯมาแล้ว เท่าที่ช่าดูมันน่ากลัวมากนะ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เขาทั้งสองคนก็เต็มที่กับมันมาก ในแง่ของการแสดงช่า เชื่อว่านอกจากความน่ากลัวแล้ว ช่าพยายามแสดงบทบาทของตัวละครนี้ให้มีความเป็นดราม่า มีเนื้อเรื่องด้วย ไม่ใช้วิ่งกลัวผีไปวันๆ ช่าคิดว่าหนังทุกวันนี้ นอกจากจะสยองขวัญแล้ว มันน่าจะมีโรแมนติกหรือความเป็นดราม่าอยู่ในนั้น ซึ่งตรงนี้ช่าก็พยายามถ่ายทอดความรู้สึกของพิมออกมาให้ดีที่สุด ถ้ามีเกียร์ 5 หนังเรื่องนี้ช่าเข้าเกียร์ 6 เลย คือกดเต็มแมคเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ช่าคาดหวัง คืออยากจะให้คนที่ไปดูตรงนั้นได้ดูหนังเรื่องนี้ แล้วรู้สึกเต็มอิ่มกับมัน ดูเสร็จแล้วออกมาประทับใจกับสิ่งที่เราได้ทำตลอดระยะเวลาเกือบปี ”

แฟนฉัน


ภาพแห่งอดีต จริงๆ แล้วมันไม่เคยจากไปไหน มันอาจจะซุกอยู่ที่ซอกหนึ่ง ในลิ้นชักความทรงจำ และอยู่อย่างนั้นมาตลอด จนความทรงจำใหม่ๆ เข้ามาทับ เข้ามาซ้อน ดันมันไปจนสุดลิ้นชัก แต่เมื่อใดก็ตามที่ได้ยินเพลงอย่างนี้แว่วมา หรือเห็นรูปภาพสีเหลืองๆ แดงๆ เก่าๆ ความทรงจำในครั้งนั้น ก็เหมือนถูกมือซนๆ หยิบมันออกมาปลุกให้กลับมามีชีวิต... อีกครั้งหนึ่ง
ทุกคนคงมีภาพความทรงจำในวัยเด็กกันทั้งนั้น เหมือนกันในรูปแบบ ต่างกันในรายละเอียด มีสิ่งที่ชอบเล่นเหมือนกัน ผู้ชายอาจจะมีขี่จักรยาน เป่ากบ ผู้หญิงอาจจะมีกระโดดยาง เล่นขายของ ...แต่ผมมีทั้งสองแบบ บางคนอาจจะขลุกอยู่หน้าจอทีวี กับลีลาสุดเท่ของยอดมนุษย์ หรือจอมยุทธจากหนังจีนกำลังภายใน ในขณะที่บางคนอาจจะชอบใช้ชีวิตนอกบ้าน เที่ยวเล่นจนตัวดำ ออกจากบ้านตั้งแต่เช้า กลับมาอีกทีก็เมื่อฟ้ามืด ...แต่ผมเป็นทั้งสองแบบ บางคนอาจจะมีเพื่อนเป็นแก๊งค์ลิงทะโมนอยู่กลุ่มใหญ่ ที่พากันดื้อซนจนแม่ๆ เอือมที่จะด่า ในขณะที่อีกคนกลับมีเพื่อนน้อยมาก เพื่อนที่ซี้ที่สุดอาจจะมีแค่คนเดียว และเป็นเด็กผู้หญิงแก่นกะโหลกด้วยก็มี ...และผมก็มีทั้งสองแบบ
น้อยหน่า คือชื่อเด็กผู้หญิงคนนั้น เธอเป็นเพื่อนผมมาตั้งแต่ยังเล็ก เพราะบ้านเราอยู่ติดกัน แถมละแวกบ้านเรา ยังไม่ค่อยมีเด็กวัยเดียวกันอีก เราจึงเล่นด้วยกัน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการละเล่นแบบผู้หญิง พวกกระโดดยาง เล่นขายของก็ตาม ผมก็สนุกที่จะเล่นกับเธอ จนกระทั่ง...ผมเริ่มโต เริ่มอยากเล่นแบบเด็กผู้ชายที่มันโลดโผนบ้าง ถึงขนาดไปขอเข้าแก๊งค์เด็กผู้ชาย ที่เป็นคู่อริกับน้อยหน่าก็ยอม พวกมันยื่นคำขาด ให้ผมพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายให้มันเห็น ลูกผู้ชายที่เข้มแข็ง สามารถเอาชนะศัตรูได้ และศัตรูของพวกมันก็คือน้อยหน่า และเด็กๆ ผู้หญิงละแวกนั้น ...ผมยอมทำ นั่นทำให้น้อยหน่าโกรธผม และอาจจะถึงขั้นเกลียดเลยก็ได้ และที่สำคัญก็คือ ผมไม่มีโอกาสได้ขอโทษเธอ เพราะไม่กี่วันต่อมา เธอก็ย้ายบ้านไปที่อื่น คนละจังหวัดกัน และไม่ได้เจอเธออีกเลย
วันนี้ เธอส่งการ์ดงานแต่งงานมาให้ที่บ้านผม สิบกว่าปีที่เราไม่ได้เจอกัน เธอยังจำเพื่อนคนแรกของเธอได้ ลิ้นชักของเธอคงเป็นระเบียบกว่าของผมเยอะ ไม่รู้ว่าเธอจะเปลี่ยนไปแค่ไหน หรือว่าเห็นหน้าผมแล้วเธออาจจะงง ว่าไอ้ชายหนุ่มคนนี้ เป็นคนเดียวกับเด็กชายคู่หูเธอคนนั้นหรือเปล่า แต่ผมก็จะไปงานแต่งงานเธอ เพื่อนซี้เมื่อสิบขวบของผม...แน่ๆ
แฟนฉัน ภาพยนตร์แนวรักโรแมนติก เป็นภาพยนตร์เรื่องแรก ที่เกิดขึ้นจากการที่ 3 บริษัทบันเทิงไทยอย่าง จีเอ็มเอ็ม พิคเจอร์ส ที่พรั่งพร้อมด้วยแผนการตลาด และโฆษณา มี ไท เอ็นเตอร์เทนเมนท์ ที่เชี่ยวชาญในเรื่องการจัดจำหน่าย แน่นด้วยประสบการณ์ที่เข้าใจคนดูหนังไทย และ หับโห้หิ้น ฟิล์ม ที่อัดแน่นด้วยทีมงานการสร้างภาพยนตร์ระดับแนวหน้า ร่วมมือร่วมใจกันทำงาน เพื่อบันทึกไว้เป็นเกียรติประวัติ ทั้ง 3 บริษัทมีมุมมองเดียวกัน คือต้องการให้วงการภาพยนตร์ไทย ได้มีหนังเด็ก น่ารักๆ ใสๆ ให้ผู้ชมได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ด้วยความสุข
แฟนฉัน จะทำให้คุณหวนระลึกถึงคืนวันเก่าๆ จากผลงานการแสดงอันยอดเยี่ยมของนักแสดงเด็ก ที่ถ่ายทอดเรื่องราว และความทรงจำวัยเด็ก อันแสนสนุกสนานของหลายๆ คน ให้มาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม และทำให้คุณย้อนนึกถึงเรื่องอดีตที่อาจจะลืมเลือน แต่ไม่อาจร้างเลือนไปได้ ให้รื้อฟื้นออกมา พร้อมกับยิ้มไปกับมันได้...
เป็นครั้งแรกของวงการ ที่มีผู้กำกับฯ 6 คน ในนาม กลุ่ม 365 ฟิล์ม กลุ่มคนรักหนังของเพื่อนๆ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ รุ่น 29 วิชาเอกภาพยนตร์และภาพนิ่ง มาทำงานร่วมกัน ซึ่งประกอบด้วย นิธิวัฒน์ ธราธร (ต้น), ทรงยศ สุขมากอนันต์ (ย้ง), คมกฤษ ตรีวิมล (เอส), วิทยา ทองอยู่ยง (บอล), วิชชา โกจิ๋ว (เดียว), อดิสรณ์ ตรีสิริเกษม (ปิ๊ง) โดยมี จิระ มะลิกุล, ยงยุทธ ทองกองทุน และ ประเสริฐ วิวัฒนานนท์พงษ์ เป็นโปรดิวเซอร์
นอกจากจะมีผู้กำกับฯ ที่มากที่สุดถึง 6 คน ทั้ง 6 คนยังร่วมกันเขียนบท พร้อมกับดึง อมราพร แผ่นดินทอง รุ่นน้องที่เป็นนักเขียนนิตยสารเด็ก มาร่วมเขียนบทอีกด้วย ทำให้หนังเรื่องนี้มีผู้เขียนบทมากถึง 7 คนด้วยกัน โดยดัดแปลงมาจากเรื่องสั้น อยากบอกเธอรักครั้งแรก ในเว็บไซต์ นิเทศฯ ด็อต เน็ต ที่บอล (วิทยา ทองอยู่ยง) เป็นคนเขียน
แฟนฉัน นำแสดงโดย เหล่าดาราเด็ก 11 ชีวิต ที่ฉายแววนักแสดงมืออาชีพ อาทิ น้องแน็ค-ชาลี ไตรรัตน์, น้องโฟกัส-โฟกัส จีระกุล, น้องเอิร์ท-สุวรี วรศิลป์, น้องไหม-หัทยา รัตนานนท์, น้องเฟิสท์-มัธณา ใจเย็น, น้องน้ำผึ้ง-ภานุชนารถ สีหะอำไพ, น้องอ๋อง-ธนา วิชยาสุรนันท์, น้องแจ๊ค-เฉลิมพล ทิฆัมพรธีรวงศ์, น้องอ๊อฟ-อภิชาญ เฉลิมชัยนุวงศ์, น้องเกตต์-อัญญาฤทธิ์ พิทักษ์ติกุล, น้องหยก-หยก ธีรนิตยาธาร ทั้งหมดมาร่วมสร้างสีสัน จนเหมือนกับจับปูใส่กระด้งกันเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ยังได้นักร้อง-นักแสดง ที่เคยโด่งดังสุดๆ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนอย่าง เล็ก-ปรีชา ชนะภัย, ไก่-นิภาวรรณ ทวีพรสวรรค์, ต้น-วงศกร รัศมิทัต และ กบ-อนุสรา จันทรังษี ที่จะมาหวนนึกถึงเรื่องราวสมัยเด็กๆ กัน โดยมาในบทพ่อและแม่ของเด็กๆ และมี ชวิน จิตรสมบูรณ์ หรือ จั๊ก Double U มาเป็นนักแสดงรับเชิญ
และเป็นครั้งแรกของวงการภาพยนตร์ไทย ที่มีการนำเพลงที่เคยโด่งดังในอดีต และยังอยู่ในความทรงจำของคนฟังเพลงยุค `80 มาประกอบภาพยนตร์มากที่สุดถึง 19 เพลง ได้แก่ เพลงประตูใจ, รักคือฝันไป, เป็นแฟนกันได้อย่างไร, รักครั้งแรก ของ สาว สาว สาว, เพลงแฟนฉัน, รักครั้งแรก ของวงชาตรี, เพลงป้ากะปู่, รักบึงเก่า ของวงเพื่อน, เพลงใจเธอใจฉัน ของ 18 กะรัต, เพลงน่าอาย ของวงรอยัลสไปรท์, เพลงหัวใจสลาย ของเดอะฮอตเปปเป้อร์ซิงเกอร์, เพลงสายเกินไป จากวงโอเวชั่น, เพลงคนที่รู้ใจ ของ แหวน ฐิติมา สุตสุนทร, เพลงคอนเสิร์ตคนจน ของวงนกแล, เพลงอย่าดีกว่า ของวงไมโคร, เพลงสาวสวนแตง และ เป็นโสดทำไม ของ สุรพล สมบัติเจริญ รวมไปถึงเพลงเอก จากภาพยนตร์จีนชุดทางโทรทัศน์เรื่อง กระบี่ไร้เทียมทาน และเพลงสากลยอดนิยมในอดีต อย่างเพลง More Than I Can Say
บทเพลงทั้งหมด ถูกนำมาประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างลื่นไหล และลงตัวเหมาะสมกับเรื่องราว ในจำนวนนี้ บางเพลงได้มีการนำมา cover ใหม่ โดยนักร้องศิลปินในปัจจุบัน อาทิเพลงแฟนฉัน โดย AB Normal, เพลงรักครั้งแรก โดย จั๊ก - ชวิน, เพลงป้ากะปู่ โดย ดาจิม และที่พิเศษสุด คือเพลงพิเศษที่แต่งขึ้นมาใหม่ โดยมี ปาล์มมี่ เป็นคนถ่ายทอดบทเพลง เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เพลงที่ 20

เพื่อนสนิท







เพื่อนสนิท แนว : รัก -->กำหนดฉาย : 6 ตุลาคม 2548
2 เดือนที่แล้ว ชายหนุ่มคนหนึ่งรวบรวมความกล้าบอกรัก เพื่อนสนิท...
2 เดือนต่อมา ชายหนุ่มคนเดิมเป็นฝ่ายถูกบอกรักบ้างโดย เพื่อนสนิท ...อีกคน
ความรักของ ไข่ย้อย หนุ่มนักศึกษาศิลปะ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ ที่เกิดขึ้นสองครั้งสองครา ..กับเพื่อนสองคน
ที่เชียงใหม่ ไข่ย้อย (ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์) คือ หนุ่มเมืองกรุงฯ จากโรงเรียนชายล้วนที่แสนขี้อาย เขาไม่กล้าคุยกับผู้หญิง พูดตะกุกตะกักทุกครั้งที่มีสาวๆ เข้ามาทัก เป็นเหตุให้ต้องคอยหลบเลี่ยงอยู่เสมอ จนกระทั่งหญิงสาวท่าทางสดใส กระฉับกระเฉงเกินมาตราฐานสาวเหนือทั่วไป เข้ามาสมัครเป็นเพื่อน เธอชื่อ ดากานดา (นุ่น - ศิรพันธ์ วัฒนจินดา) ซึ่งสำหรับไข่ย้อย ช่างเป็นชื่อที่แปลก แต่มีเสน่ห์สมตัวเจ้าของเป็นที่สุด ไข่ย้อยแอบหลงรักดากานดา แต่ไม่เคยเอ่ยปาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขยับเข้าใกล้มากที่สุดที่คำว่า เพื่อนสนิท เพราะดากานดามีคนที่เธอรักซึ่ง ไม่ใช่เขา
ที่พะงัน ไข่ย้อย คือ อาร์ติสหนุ่มจากเชียงใหม่ ที่อุตส่าห์ดั้นด้นมาเป็นคนไข้ ถึงสถานีอนามัยแห่งเดียวบนเกาะ ไข่ย้อยพลัดตกจากดาดฟ้าเรือขาหัก จากการพยายามขึ้นไปเล่นบทพระเอกมิวสิก ท่ามกลางคนแปลกถิ่นหน้าเข้ม พูดจาเร็วปรื๋อ ไข่ย้อยได้พยาบาลสาวตาโต ยิ้มเก่ง เป็นคนคอยดูแล เธอชื่อ นุ้ย (เอ๋ - มณีรัตน์ คำอ้วน) ซึ่งสำหรับไข่ย้อย รอยไมตรีที่เธอจ่ายให้เขาบ่อยกว่าจ่ายยา ทำให้เขาสมัครเป็นคนไข้ไม่มีกำหนดหายอย่างเต็มใจ
ไข่ย้อยรู้ว่านุ้ยมีใจให้เขา แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ขยับเข้าใกล้มากที่สุดที่คำว่า เพื่อนสนิท บางทีเธอคงรู้ว่า เขามีคนที่รักซึ่ง ไม่ใช่เธอ
ความรักของคนสามคน เกิดขึ้น สองสถานที่ สองเวลา ความรักของคนคู่ใดจะก้าวพ้นคำว่า เพื่อนสนิท ความรักของไข่ย้อย จะจบลงที่ไหน ภูเขา หรือ ทะเล..
คุณเคยมีเพื่อนหรือเปล่า? แล้วคุณเคยมีเพื่อนรักไหม? ถ้าเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า คุณเคยแอบรักเพื่อนหรือเปล่าล่ะ? คำตอบของคุณคืออะไร ถ้าคำตอบของคุณคือ "เคย" แสดงว่าคุณเป็นคนหนึ่ง ที่มีความสัมพันธ์ทางใจกับใครบางคน คนที่คุณเรียกเขาว่า เพื่อนสนิท คนที่คุณสร้างมิตรภาพกับเขา ด้วยรอยยิ้มในครั้งแรกที่เจอ คนที่คุณยินดีจะสร้างมิตรภาพกับเขาต่อด้วยการชวนไปกินข้าว และคนที่คุณยอมให้เขาเข้ามาจัดการอะไรบางอย่างในชีวิตคุณได้อย่างเสรี คนที่คุณรู้สึกว่าอยากเลิกใช้คำว่า เพื่อนสนิท กับเขาสักที ถ้าคุณพร้อมแล้ว.. รวบรวมความกล้า ชวนเพื่อนสนิทมาพูดความในใจซะ...
จากหนังสือสารคดีท่องเที่ยวยอดเยี่ยม กล่องไปรษณีย์สีแดง ของ อภิชาติ เพชรลีลา เจ้าของรางวัลนายอินทร์ อวอร์ด ที่หลายคนบอกว่า อบอวลด้วยกลิ่นไอรัก มากกว่าหอมกลิ่นสายลมหรือแสงแดด กว่า 1500 กิโลเมตร จากทิวเขาและไอหมอกในจังหวัดเชียงใหม่ สู่ไอน้ำเค็มของหมู่เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฏร์ธานี กลายมาเป็นภาพยนตร์โรแมนกิ๊ก คอมมาดี้ ฝีมือกำกับฯของ เอส - คมกฤษ ตรีวิมล 1 ในผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง แฟนฉัน แล้ว เรื่องราวความรักของคนสามคน ที่เกิดขึ้นสองที่ สองเวลา แต่ความรักของคนคู่ไหน จะสามารถก้าวพ้นเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างคำว่าเพื่อนไปได้...
ภาพยนตร์เรื่อง เพื่อนสนิท สร้างโดย บริษัท GMM ไท HUB จำกัด อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารโดย ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม, บุษบา ดาวเรือง, วิสูตร พูลวรลักษณ์, จินา โอสถศิลป์ อำนวยการสร้างโดย จิระ มะลิกุล, ยงยุทธ ทองกองทุน, ประเสริฐ วิวัฒนานนท์พงษ์, เช่นชนนี สุนทรศารทูล กำกับภาพยนตร์โดย เอส - คมกฤษ ตรีวิมล บทภาพยนตร์โดย นิธิศ ณพิชญสุทิน ดัดแปลงจากหนังสือสารคดีท่องเที่ยว กล่องไปรษณีย์สีแดง ของ อภิชาติ เพชรลีลา กำกับภาพโดย ปราเมศร์ ชาญกระแส ออกแบบงานสร้างโดย รัชชานนท์ ขยันงาน กำกับศิลป์โดย ธาดร คล้ายปักษี ออกแบบเครื่องแต่งกายโดย สุธี เหมือนวาจา ลำดับภาพโดย วิชชา โกจิ๋ว
เพื่อนสนิท นำแสดงโดย ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ รับบท ไข่ย้อย, นุ่น - ศิรพันธ์ วัฒนจินดา รับบท ดากานดา, เอ๋ - มณีรัตน์ คำอ้วน รับบท นุ้ย ร่วมด้วย อิศ - อิศยม รัตนอุดมโชค รับบท โก้ เพื่อนเก่าที่ตามมาแสลงใจไข่ย้อยถึงเชียงใหม่, ดัมมี่ - ธนาบดินทร์ ยงสืบชาติ รับบท ฟุเหยิน เพื่อนสนิทเพศชายคู่หูคู่กัดของดากานดา, โอปอลล์ - ปาณิสรา พิมพ์ปรุ รับบท พี่แตน พี่สาวของนุ้ยที่เป็นนางพยาบาลเหมือนกัน

http://movie.sanook.com/movie/movie_10108.php


เป็นเวลาห้าปีแล้วนับแต่เรื่องราวในภาพยนตร์ฮิต The Princess Diaries ได้จบลง ตอนนี้ ความสนุกได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเมื่อมีอา (แอนน์ ฮาธาเวย์) ได้เติบโตขึ้นมาเป็นสาวน้อยผู้งดงาม และเตรียมพร้อมที่จะเข้ารับตำแหน่งเป็นเจ้าหญิงแห่งเจโนเวีย แต่ไม่นานหลังจากที่เธอย้ายเข้าไปอยู่ในปราสาทกับสมเด็จย่าแคลริซ (จูลี่ แอนดรูวส์) ผู้ฉลาดเฉลียวและงามสง่าของเธอ เธอก็ได้เรียนรู้ว่า วันเวลาในฐานะเจ้าหญิงของเธอกำลังจะหมดไป มีอาจะต้องถอดเทียร่าออกและสวมมงกุฎแทนที่ ราวกับว่าการเตรียมพร้อมขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติยังวุ่นไม่พอ มีอายังต้องเจอเรื่องเสี่ยงมากขึ้น เมื่อกฎหมายเจโนเวียระบุเอาไว้ว่า เจ้าหญิงจะต้องอภิเษกสมรสก่อนจะขึ้นครองราชสมบัติได้ มีอาจะต้องเจอกับชายหนุ่มมากหน้าหลายตาที่ล้วนแล้วแต่มุ่งหมายจะเป็นสวามีของเธอ การผจญภัยเบื้องหลังการหาตัวพระสวามีของเจ้าหญิงมีอาเต็มไปด้วยความขบขันและความยุ่งเหยิงอลหม่านเมื่อทีมนักแสดงและผู้สร้างเบื้องหลังภาคแรก รวมถึงตัวผู้กำกับแกร์รี่ มาร์แชล ( Pretty Woman, Runaway Bride ) กลับมาสร้างสรรค์คอเมดี้สุดฮาเรื่องนี้อีกครั้ง นักแสดงแอนน์ ฮาธาเวย์ - เจ้าหญิงมีอา จูลี่ แอนดรูว์ส - ราชินีแคลริซ เรนัลดี เฮคเตอร์ เอลิซอนโด - โจเซฟ ฮีทเธอร์ มาตาราซโซ - ลิลลี่ มอสโควิทซ์ คริส ไพน์ - ลอร์ดนิโคลา เดอเวอโรทีมงานผู้อำนวยการสร้าง : วิทนีย์ ฮูสตัน, เดบรา มาร์ติน เชส กำกับการแสดง : แกร์รี่ มาร์แชล
อ้างอิงจาก

princess diary


เรื่องย่อ : เด็กสาวขี้อายจากซานฟรานซิสโก มีอา เธอร์โมโพลิส (แอนน์ แฮธาเวย์) กำลังหัวหมุนกับโลกที่กลับตาลปัตรของเธอ เมื่อเธอได้ทราบความจริงว่า เธอนี่แหละที่เป็นเจ้าหญิงตัวจริงเสียงจริง! และเมื่อเจ้าหญิงรัชทายาทกลับคืนสู่บัลลังก์ของนครเล็กๆ แห่งหนึ่งในยุโรป ที่เรียกกันว่า เจโนเวีย นั้น การเดินทางสุดหรรษาชวนปวดเศียรเวียนเกล้าของมีอาก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเธอได้พบกับราชินี แคลริซ เรนัลดี (จูลี แอนดรูว์ส) อัยยิกาเจ้าระเบียบและน่าเกรงขาม ผู้สอน บทเรียนแห่งการเป็นเจ้าหญิง ให้แก่เธอ ทั้งคู่ไม่ลงรอยกันตั้งแต่แรกพบ ตัวมีอาเองนั้น เธอไม่มีความคิดที่จะทิ้งชีวิตสามัญ เพื่อมาเป็นผู้ครองนครอันห่างไกลเช่นนี้เลย ขณะที่ราชินีแคลริซคงย้ำเสมอว่าเป็นหน้าที่ของเธอ ดังนั้น ราชินีจอมเข้มงวดจึงตกลงใจที่จะเคี่ยวเข็ญดาวที่ยังไม่เปล่งแสงคนนี้อย่างเต็มความสามารถ และแล้วเพชรในตมก็เปล่งประกาย เมื่อปรากฏว่าเธอปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ในที่สุด เจ้าหญิงจำทนก็ต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต ว่าเธอจะกลับไปอยู่กับครอบครัว หรือจะละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อยอมรับภาระหน้าที่ในราชวงศ์ อันมาพร้อมกับความเป็นเจ้าหญิงแห่งเจโนเวีย


เจ้าหญิงวุ่นวายกะเจ้าชายเย็นชา








CHARACTER : Joo Ji Hoon รับบทเป็น Prince Shin รัชทายาท อันดันหนึ่ง ของราชวงศ์เกาหลี ผู้เย็นชา ต้องอยู่ในกรอบไม่มีอิสระ พอได้มาเจอกับShin Chae Gyungก็เริ่มเปลี่ยนไป BIOGHAPHY OF JOO JI HOON (ประวัติ) + Birthdate: May 16, 1982 + Height: 187 cm; Weight: 68 kg + Hobbies: Gaming, basketball, swimming + Talents: Speed-reading, singing, dancing, self-defense + School: Dong Won University, Kyung Kee University












Yoon Eun Hye รับบทเป็น Shin Chae Gyung สาวน้อย ม.ปลายผู้สดใสน่ารัก แต่ต้องกลายมาเป็นเจ้าหญิงจากการแต่งงานแบบไม่ทันตั้งตัว BIOGHAPHY OF YOON EUN HYE (ประวัติ) + Birthdate: October 3, 1984 + Height: 169 cm; Weight: 50 kg + Bloodtype: B + Siblings: First-born amongst 1 son, 1 daughter + Hobbies: Watching movies, writing letters + Talent: Drawing + School: Kyung Hee University
Kim Jung Hoon รับบทเป็น Lee Yul ลูกพี่ลูกน้องของShin ผู้อ่อนโยน ซึ่งหลงรักShin Chae Gyung ในตอนแรกเขาเป็นรัชทายาทอันดับหนึ่ง แต่พอพ่อเขาเสียชีวิตทำให้ต้องย้ายไปที่อังกฤษ พอกลับมาเขาก็หลงรักShin chae Gyung จึงตัดสินใจจะแย่งบัลลังก์คืนจากShin BIOGHAPHY OF KIM JUNG HOON + Birthdate: January 20, 1980 + Height: 179 cm; Weight: 60 kg + Bloodtype: AB + Siblings: Last-born amongst 2 sons, 1 daughter + Debut: UN's 1st album "Voice Mail" (2000) + School: Seoul National University
Song Ji Hyo รับบทเป็น Min Hyo Rin สาวน้อยที่Shinหลงรัก และเคยขอแต่งงานด้วย แต่ตอนนั้นเธอปฎิเสธเพราะเลือกที่จะเต้นบัลเล่ต์ที่เธอรัก แต่พอShinแต่งงานกับShinChaegyung เธอกลับรู้สึกเสียใจจึงคิดที่จะแย่งShinกลับมาเหมือนเดิม BIOGHAPHY OF SONG JI HYO + Real Name: Chun Sung Im + Birthdate: August 15, 1981 + Height: 168 cm; Weight: 46 kg + Siblings: First-born amongst 1 son, 2 daughters + Debut: Kiki Fashion Model (2001) + School: Graduated from Kyung Mun University
เรื่อย่อ
เรื่องราวของสาวน้อยวัย 19 ที่ต้องมาแต่งงานจากคำสัญญาของปู่ ที่ให้ไว้ในอดีตกับพระราชาทำให้เธอShin Chae kyung ต้องแต่งงานกับเจ้าชาย Shin ผู้เย็นชาและมีคนที่รักอยู่แล้วอย่าง Min Hyo Rin เธอจะทำอย่างไร เมื่อ Yul ลูกพี่ลูกน้องของ Shin ก้อตกหลุมรักเธอ และพร้อมที่จะแย่งทุกอย่างมาจาก Shin เพราะเขาเป็นรัชทายาทที่แท้จริง เรื่องราวความรักคนสี่คน จะลงเอยอย่างไรพร้อมกับกฎระเบียบ การแย่งชิง และความรักที่ในวังที่ Chae Kyung ต้องเผชิญด้วยเสียงหัวเราะและน้ำตา



Shin ต่อว่า Chae Gyung ว่าที่เธอแต่งงานนั้นเพราะต้องการเงิน... Chae Gyung รู้สึกเสียใจและโกรธ Shin ที่ว่าเธออย่างนั้น เพราะที่เธอแต่งงานก็เพื่อช่วยฐานะทางการเงินของครอบครัว... Shin รู้สึกผิดจึงได้จัดการ ให้พ่อและแม่ของ Chae Gyung มีโอกาสมาพบที่วัง แต่เนื่องจาก Chae Gyung ทำการบ้านที่เรียนไม่เสร็จ จึงมาช้าและไม่ได้พบกับพ่อแม่ของเธอ ซึ่งทำให้เธอเสียใจมาก...ในงานวันเกิดของ Shin ที่จัดขึ้นที่เกาะ Jeju มีเพื่อนๆไปรวมมากมาย ซึ่งงานนี้แม่ของ Yul ได้วางแผนส่ง นักข่าวปลอมตัวไปทำข่าวด้วย... Chae Gyung ได้มอบของขวัญให้ Shin เป็นรองเท้า 1 คู่ ซึ่งเธอวาดภาพ เอง(เป็นรองเท้าของ Shin ที่เธอเคยทำ น้ำหกใส่) ส่วน Min Hyo rin นั้นให้เครื่องเล่น MP3... เพื่อนของชิน ดูถูกของขวัญของ Chae Gyung เธอจึงรู้สึกเศร้า แต่เพื่อนๆของเธอก็ช่วยปลอบใจ และทำให้เธออารมณ์ ดีขึ้นได้ในที่สุด การที่ Chae Gyung ได้เข้าไปอยู่ในพระราชวังนั้นทำให้เธอได้รับประสบการณ์ใหม่ๆมากมาย เช่น การดื่มชา บัวขาว การเล่น Gyuk Pa( คล้ายๆกับการเล่นกอล์ฟ) เป็นต้น...
Yul นั้นเข้าได้ดีกับ Chae Gyung และ เพื่อนๆเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ Yul ยังมีโอกาสได้พบ Tae-hwangtaehu อีกด้วย ซึ่งนับเป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่เขาได้ออกจากวังไป...
Chin และ Chae Gyung ได้ถูกเชิญไปเปิดงานพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ในขณะที่ทั้งสองกำลังให้สื่อมวลชลถ่ายรูป Chin ก็ถูกคนขว้างไข่ใส่!...
ทางราชวงค์ได้จัดงานแสดงความ ยินดีให้กับคู่แต่งงานใหม่ ซึ่งมีบุคคลสำคัญมาร่วมงานมากมาย... ในงานนี้แม่ของ Yul ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น.. ซึ่งนั่นทำให้พระราชินีรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก... และในงานนี้ Chin ได้ขอ Chae Gyung เต้นรำด้วยซึ่ง ถือเป็นจุดเด่นของงาน! เพื่อนๆในชมรมบัลเล่ต์พูดถึงเกี่ยวกับ Min Hyo rin และ Shin ทำให้ Min Hyo rin นึกย้อนไปถึงตอนที่พวก เขาได้เจอกันครั้งแรก...เนื่องจากครั้งที่แล้วที่ Chae Gyung ไม่ได้พบพ่อกับแม่ Shin จึงช่วยขออนุญาตให้ Chae Gyung นั้นได้ กลับไปเยี่ยมบ้าน ทำให้เธอดีใจเป็นอย่างมาก...ในตอนแรกที่ไปถึงที่บ้านของ Chae Gyung Shin ไม่คุ้นเคยและรู้สึกอึดอัด แต่ต่อมาเขาก็รู้สึกสบายใจ ผ่อนคลายและชอบเป็นอย่างมาก เขาได้ ทำสิ่งที่ไม่เคย ทำมาก่อน เช่น การกินอาหารแปลกๆ การเก็บผัก การเล่นเกมส์ เป็นต้น...
นอกจากนี้ตอนที่ อยู่ที่บ้านนี้ Chae Gyung และ shin ยังได้นอนเตียงเดียวกันด้วย!... Min Hyo rin ได้ไป เรียนฝึกโยคะกับแม่ของ Yul ซึ่งแม่ของ Yul ก็ได้พูดชักจูงให้เธอนั้นแย่งชิง Shin กลับมา หลังจากกลับมา จากบ้านของ Chae Gyung ทั้ง Chae Gyung และ Shin ก็ยังคงนึกถึง และดูเหมือนจะ สนิทกันมากขึ้น... พ่อแม่ของ Chae Gyung ก็เป็นที่ป๊อปปูล่ามีคนโทรหามากมาย.. Tae-hwangtaehu ได้ให้รถเต่สีเหลือง แก่ Chae Gyung ไว้ขับไปโรงเรียน ซึ่งเธอก็ดีใจมาก..ที่โรงเรียนการแต่งตัว Chae Gyung กลายเป็นที่นิยมที่ทุกๆคนจะแต่งตาม..ทางด้าน Min Hyo rin ก็เริ่มคิด ที่จะแย่ง Shin กลับมาอย่างจริงจัง...
ในระหว่างชั่วโมงเรียนที่วัง Shin ได้หายตัวไป Chae Gyung ก็ตามหาและไปพบเขาอยู่ที่ห้องใต้หลังคา เธอแกล้ง Shin โดยการเรียกบอร์ดี้การด์ Shin พยายามจะปิดปาก..ในจังหวะนั้นทั้งคู่เกิดล้มลงทับกัน!.. แต่ก็มีสายเรียกเข้าของ Min Hyorin มาขัดจังหวะ...ที่สโมสรขี่ม้า Min Hyo rin ได้คุยกับ Yul ขอร้องให้ช่วย แย่งตำแหน่ง Shin มา เพื่อเธอจะได้ Shin กลับมา เหมือนเดิม แต่ Yul ก็ไม่ได้รับปาก..หลังจากที่ Chae Gyung พระราชินี และ Tae-hwangtaehu เล่น Gyuk Pa กันเสร็จแล้ว Shin และ Yul ก็เกิดอุบัติเหตุตกม้า Chae Gyung วิ่งไปดู Yul นั่นทำให้ Shin เกิดความไม่พอใจขึ้น...เนื่องจากอาการประชวรของพระราชา ยังไม่หายดี Shin จึงรับอาสาไปราชการที่ ประเทศไทยแทน และเสนอให้ Chae Gyung เป็นผู้ดูแลการ ต้อนรับเจ้าชาย William ที่จะเสด็จเยือนเกาหลี ในช่วงนั้นด้วย



หลังจากที่เดินทาง Shin ไปประเทศไทย Chae Gyung ก็รู้สึกเหงาพยายามติดต่อตลอดแต่ Shin ไม่รับสายไม่โทรกลับ...กลุ่มเพื่อนของ Shin รวมทั้ง Min Hyo rin ได้ตามไปที่ประเทศไทย Min Hyo rin หาทางไป พบกับ Shin เธอขอให้เขาไปส่งที่สนามบิน Shin ก็ยอม ทั้งสองได้เดินเที่ยวด้วยกัน และต้องหนีปาปารัสซี่ ติดตามมาด้วยกัน..การที่ Shin ไปส่ง Min Hyo rin ที่สนามบินก็เกือบทำให้เขาไปงานแถลงข่าวไม่ทัน.. และที่สนามบิน Min Hyo rin ก็ได้จูบเขาด้วย!...ส่วน Chae Gyung นั้นก็ไม่ร่าเริง Yul เคยออกปากชวน เธอไปดู Bottle tree เธอจึงตอบตกลง ซึ่งเธอนั้นได้ลืมมือถือเอาไว้โดยไม่รู้ตัว .. ทุกคนในวังและครอบครัวของ Chae Gyung เป็นห่วงเธอมาก ว่าเธอหายตัวไปไหน..เมื่อกลับมาทั้งสอง ถูกพระราชินีต่อว่าเป็นอย่างมาก..การต้อนรับเจ้าชาย William เป็นไปด้วยดี... Yul เริ่มมีความคิดที่จะแย่ง ตำแหน่งจาก Shin และยอมร่วมมือกับแม่... โดยที่แม่ของยุลและพระราชานั้นเคยมีความหลังด้วยกัน.. พี่สาวของ Shin กลับมา ทำให้ทุกคนดีใจมากๆ...รูปที่ Min Hyo rin เที่ยวกับ Shin ในไทยเผยแพร่ออกมา ทำให้ Chae Gyung เศร้ามากๆ...เธอกินไม่ค่อย ได้ตอนที่เขาไม่อยู่พอมาเจอเรื่องแบบนี้เลยทำให้เป็นลม ที่โรงเรียนในระหว่าง ที่คุยอยู่กับ Min Hyo rin Shin ก็เข้ามาอุ้มและคอยดูแล เมื่อถึงวัง... Shin รู้ว่า Chae Gyung อึดอัดชีวิตในวัง จึงบอกให้รออีกไม่กี่ปี แล้วเขาจะสละตำแหน่งและปล่อยเธอไป...เมื่อ Chae Gyung รู้ว่า Yul ตั้งใจจะแย่งตำแหน่งกับ Shin ก็รู้สึก ไม่ชอบและผิดหวัง.. ทำให้ Yul ยอมที่จะถูกแต่งตั้งเป็นเจ้า ชายในตำแหน่งที่ต่ำกว่า Shin ซึ่งทำให้แม่ของ เขาไม่พอใจ... Tae-hwangtaehu ชวน Chae Gyung ไปพิพิธภัณฑ์หมี เธอเข้าไปหากล้องในห้องของ Shin และบังเอิญ ไปพบกล่องที่รวบรวมของๆ Min Hyo rin ไว้...ทำให้เธอเสียใจมาก


Tae-hwangtaehu Shin และ Chae Gyung ไปเที่ยวเกาะ Jeju โดยขับรถไปกันเอง ทั้ง 3 สนุกสนานมาก Shin และ Chae Gyung ก็มีโอกาสได้คุยปรับความเข้าใจกันด้วย....ซังกุงของ Chae Gyung และของแม่ ของ Yul ทะเลาะกัน แม่ของ Yul เข้าข้างซังกุง รวมทั้งยังเรียก Chae Gyung ไปทดสอบความรู้ แต่ Yul ก็เข้ามาช่วยไว้ และพาไปที่ห้องเก็บหนังสือใต้หลังคา ที่นี่ทั้งสองได้ร้องเพลงกันสนุกสนาน... Tae-hwangtaehu และพระราชินีได้วางแผนปรับความเข้าใจของ Shin และ Chae Gyung โดยการให้ ทั้งสองไห้เข้าห้องหอกัน(ซึ่งทั้งสองไม่รู้ตัวก่อน) ตอนแรกที่อยู่ห้องเดียวกัน ก็เกิดความอึดอัด ขวยเขิน แต่บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงด้วยการเล่นเกมส์ และพูดคุยกัน... Shin บอกให้ Chae Gyung เตรียมตัวเพื่อ หากว่าต้องหย่ากันแต่ Chae Gyung บอกว่าเธอคงรู้สึกเศร้ามาก Shin ได้ยินดังนั้นก็ดึง Chae Gyung เข้ามาจูบ!...ยุลเมื่อรู้ว่า 2 คนนี้ต้องเข้าห้องหอด้วยกันก็โกรธและเสียใจมาก...แม่ของ Yul วางแผนนำรูปของShin และ Min Hyo rin ที่ไปเที่ยวกันในเมืองไทยลงใน internet... ภาพถูกเผิยแพร่ไปที่โรงเรียนเพื่อนของ Chae Gyung เห็นก็โกรธแทนและไปต่อว่า Min Hyo rin แต่ Chae Gyung ก็เข้ามาช่วย...มีคนนำรูปของ Shin และ Min Hyo rin ไปไว้ในห้องของ Chae Gyung รวมทั้งรูปจูบที่ประเทศไทยนั้นด้วย....เธอก็ช็อคไปและเสียใจมากๆ... Yul เห็น Chae Gyung เศร้าจึงชวนโดดเรียนไปเที่ยว สวนสนุก ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น... หลังจากเที่ยวกัน Chae Gyung ก็ขอแยกตัวกลับเอง...แต่ตกเย็นเธอก็ยังไม่กลับมาทั้ง Shin และ Yul เป็นห่วงจึงออกตามหา...ยุลพบ Chae Gyung ก่อนที่ห้องหนังสือใต้หลัง ชินตามมาด้วยอารมณ์โกรธและชก Yul ไป 1 หมัด!... Shin พา Chae Gyung ไป พวกเขาได้คุยกัน และอารมณ์ก็เริ่มดีขึ้นทั้งคู่...ภาพที่ Shin ชก Yul ถูกเผิยแพร่ออกไป...ทำให้คนในราชวงศ์โกรธ Shin พี่สาวของ Shin ก็ช่วยแก้ตัว และแนะนำให้ Shin และ Chae Gyung ไปงานคอนเสิร์ตทำตัวตามปกติ หลังจบคอนเสิร์ตมีการสัมภาษณ์นักข่าวถามถึง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ Shin ไม่ตอบแต่หันไปจุ๊บแก้ม Chae Gyung แทน... นอกจากนี้พี่สาว Shin ยังเสนอ ให้กินข้าวรวมญาติกัน...ระหว่างทานข้าว Yul แสดงออกชัดว่าเขาสนใจและ ชอบ Chae Gyung ซึ่งทำให้คน ในราชวงศ์อึดอัด... Shin ชวน Chae Gyung ไปเที่ยวทะเล ที่นั่นพวกเขา มีความสุขและสนุกกันมาก ได้ทำอาหารด้วยกัน นอนด้วยกัน และ Shin ก็เริ่มรู้ตัวเองดีว่าเขานั้นชอบ Chae Gyung เข้าแล้วจริงๆ... Min Hyo rin ไประรึกความหลังถึงที่ๆเธอและ Shin เคยไปและขุดเอาตั๋วที่ทั้งสอง สัญญากันไว้กลับมา ... ที่โรงเรียนเธอได้ถามเขาว่าเขาชอบ Chae Gyung เหรอ... Shin ก็ยอมรับ... เป็นเหตุให้ Min Hyo rin คิดฆ่าตัวตาย... Shin และ Chae Gyung รู้เข้าก็ตกใจ...เรื่องของ Min Hyo rin ก็ตกเป็นข่าว พระราชาทรงโกรธมาก Shin ก็หัวเสียขับรถออกจากวังไป...ปล่อยให้ Chae Gyung เป็นห่วงอย่างมาก!

Shin ขับรถไปคุยกับ Min Hyo rin ซึ่งเธอเริ่มเข้าใจและยอมรับได้บ้าง...ทางด้าน Chae Gyung ก็เป็นห่วง Shin อย่างมาก ระหว่างนั้นผู้ช่วยคนสนิทของ Shin ก็ได้คุยกับเจ้าหน้าที่เรื่องที่มีการกล่าวหาว่า Shin ได้ไปก่อเรื่อง... Chae Gyung เมื่อเห็น Shin กลับมาก็ต่อว่าๆทำไมไม่ติดต่อมา เธอเป็นห่วงมาก Shin ก็ดึงเธอมากอดแล้วบอกว่าขอให้เธออยู่ข้างเขาแม้เขาจะไม่ได้เป็นเจ้าชายอีกต่อไป...พระราชินีเรียก Min Hyo rin มาพบพูดเกลี่ยกล่อมให้เธอไปเรียนบัลเล่ต์ต่อ เพื่อจะได้อยู่ห่างจาก Shin โดยพระองค์จะเป็นผู้ให้ ทุนเอง... พระราชาเริ่มให้อาจารย์มาสอนงาน Yul และเริ่มให้เขาได้เข้าร่วมประชุมสำคัญๆ...แม่ของ Yul พยายามชักจูงให้ Min Hyo rin กลับมาแย่ง Shin อีกแต่เธอก็ปฎิเสธ... Shin สอนขับรถให้กับ Chae Gyung( เป็นรถที่ ครอบครัวเธอซื้อให้) แต่เธอขับได้น่ากลัวและอันตรายมาก!... Yul ได้จัดงานวันเกิดที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งมี เพื่อนๆมาร่วม โดยที่ Shin และ Chae Gyung นั้นได้นอนร่วมห้องกันอีกครั้ง..ระหว่างร่วมรับประทาน อาหารกัน Chae Gyung ป้อนอาหารให้ Shin เป็นที่สนุกสนานของเพื่อนๆ(ยกเว้น Yul และ Min Hyo rin).. Chae Gyung แกล้งแต่งหน้า Shin แล้วอัดวีดีโอไว้ขณะเขาหลับกลางวันเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็เลยแกล้งกลับ บันทึกเทปตอนเขาจุ๊บแก้มเธอ แต่เธอไม่รู้นำไปเปิดให้เพื่อนๆดู ทำให้ทั้งสองอายเป็นอย่างมาก...งานเลี้ยง ตอนกลางคืน Shin และ Min Hyo rin คุยกัน Chae Gyung แอบฟังแต่ไม่หมดทำให้เข้าใจผิดและเศร้า เธอไปนั่งคุยกับ Yul แล้ว Yul ก็ได้จูบหน้าผากเธอ Shin เห็นแล้วโกรธมาก ลาก Chae Gyung ออกมาแล้ว จูบเธออย่างรุนแรง เธอโกรธเขามาก ต่อมาเขาพยายามที่จะง้อแต่ไม่สำเร็จ... Shin นำกล่องรวบรวมของๆ Min Hyo rin ไปเธอ แต่ Chae Gyung เห็นก็เข้าใจผิด...หลังเลิกเรียน Chae Gyung และเพื่อนไปกินข้าวกัน Shin ตามไป และนำเธอไปส่งที่บ้าน พอกลับมาวันพระราชินีก็เรียกไปว่า Shin ก็พยายามจะมาอธิบายให้ตามหลัง...ทั้งสองยังคงเข้าใจผิดและก็ทะเลาะกัน Chae Gyung ร้องไห้ และขับรถออกไป Yul เห็นจึงขับตามไป พวกเขาเดินคุยกันพอกลับมาปรากฏว่ารถของ Chae Gyung ถูกขโมย!.. . มีข่าวออกมาว่าตอนที่รถถูกขโมยเธออยู่กับผู้ชายอื่นที่ไม่ใช่ Shin เรื่องก็ยิ่งยุ่งยากมากขึ้น... Min Hyo rin ตัดสินใจไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ โดยที่ Shin ก็ไปส่งเธอ... Yul พยายามเกลี่ยกล่อม Chae Gyung ให้ประกาศหย่า ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ออกอากาศทางทีวีกับ Shin!


Chae Gyung ได้ประกาศขอหย่าในระหว่างการให้สัมภาษณ์ ซึ่ง Shin ไม่สามารถป้องกันมันได้ การประกาศ นี้ทำให้คนในราชวงศ์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ส่วน Shin นั้นก็ทั้งเศร้าใจและโกรธ...แม่ของ Yul กลัวว่าข่าวลือของ Chae Gyung จะส่งผลกระทบต่อ Yul จึงพยายามพูดให้ Chae Gyung รับผิดชอบความผิดทั้งหมด ต่อหน้าพระราชา...ขณะที่ Chae Gyung นั้นร้องไห้คร่ำครวญ แม่ของ Yul กลับมองเธออย่างเฉยชา... หลังจากที่ Chae Gyung ประกาศขอหย่า สถานะเจ้าชายรัชทายาทของ Shin ก็สั่นคลอน และพระราชาก็ พยายามจะมอบให้ Yul แทน...เพื่อที่จะปกป้อง Chae Gyung ในระหว่างการประชุมของราชวงศ์ Yul ได้ประกาศว่าเขาคือคนที่อยู่กับ Chae Gyung ตอนที่รถหาย และบอกว่าเขาชอบเธอ!... Yul ยังคงยืนกรานที่จะไม่สนใจกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ เขาจะซื่อตรงกับหัวใจของเขา ในขณะที่ Shin ยังคงเห็นด้วยและเชื่อกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะมีความเชื่อและวิธีการที่ต่างกัน แต่คนที่ พวกเขาพยายามจะปกป้องก็คือคนๆเดียวกัน!...ส่วน Chae Gyung ก็รู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุให้คนรอบๆเธอต้อง เจ็บปวด ทำให้เธอยิ่งไม่สามารถที่จะยอมรับสถานการณ์เช่นนี้ได้... ในทางกลับกันพระราชาก็ห่วงว่าควรจะ ปฏิบัติกับ Yul เช่นไรดี...และมีคนพวกหนึ่งที่ต้องการให้ Chae Gyung ถูกลงโทษอย่างหนัก...แม่ของ Yul ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าจะให้รางวัลชิ้นงามหาก Chae Gyung นั้นถูกออกจากวัง.. . เธอได้เปิดศึกครั้ง สุดท้ายแล้ว!!

which star are you from??



“รักนี้...มาจากไหน WHICH STAR ARE YOU FROM?” นำแสดงโดย คิม แรวอน ร่วมด้วย จอง ยอวอน นักร้อง และนักแสดงชื่อดังที่ผู้กำกับ มือทองยื่นบทนำให้เธอพิสูจน์ฝีมือทางการแสดงเป็นครั้งแรก เช ซึงฮี เรียนจบในสาขาภาพยนตร์มาจากประเทศออสเตรเลีย เขากลายเป็นผู้กำกับภาพยนตร์หนุ่มดาวรุ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งยุค เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตของเขาได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากงานประกวดภาพยนตร์ระดับนานาชาติ ในขณะที่หน้าที่ การงานของ ซึงฮี กำลังเจริญรุ่ง เรือง กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อเขาต้องสูญเสีย ลี เฮซู แฟนสาว จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ซึงฮี โทษตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คนรักของตนต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้เขารู้สึกท้อแท้กับชีวิต กลายเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว เฉื่อยชา หน้าที่การงานที่ดูเหมือนจะรุ่งโรจน์ กลับตกต่ำลงเรื่อยๆ 3 ปีผ่านไป ซึงฮี ยังคงจมปลักอยู่กับความรู้สึกเดิมๆ ในขณะที่คนใกล้ชิดต่างรู้สึกเสียดายความรู้ความสามารถของเขา ฮัน จองฮุน เพื่อนรุ่นพี่ซึ่งเป็นผู้บริหารบริษัทผลิตภาพยนตร์และเพลงชั้นนำของประเทศเกาหลี จึงตัดสินใจมอบหมายงานผลิตมิวสิควิดีโอเพลงให้กับ ซึงฮี เป็นผู้รับผิดชอบ โดยหวังว่างานชิ้นนี้จะทำให้เขาลืมเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา ซึงฮี เดินทางไป อิมเกยอน เพื่อสำรวจสถานที่สำหรับถ่ายทำมิวสิควิดีโอ ที่แห่งนี้เขาได้พบกับ คิม บ๊กชิล หญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับ เฮซู ราวกับว่าเป็นคนๆ เดียวกัน แต่เพียงแค่แรกพบก็มีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่ไว้วางใจในตัวชายหนุ่มขึ้นมาทันที ในความเป็นจริงแล้ว บ๊กชิล เป็นหญิงสาวมองโลกในแง่ดี เธอเติบโตท่ามกลางป่าเขา ใช้ชีวิตอย่างต่อสู้ดิ้นรนอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เพราะเธอต้องรับภาระในการหาเลี้ยงครอบครัว รวมถึงค่ารักษาพยาบาลแม่ที่มีอาการผิดปกติทางสมอง เนื่องจากเคยได้รับอุบัติเหตุอย่างรุนแรง และยังเป็นโรคมะเร็งอีกด้วย บ๊กชิล ได้รับการติดต่อให้มาดูแลเรื่องอาหารของกองถ่ายมิวสิควิดีโอ โดยไม่รู้ว่า ซึงฮี คือผู้กำกับชื่อดังที่รับหน้าที่ในการกำกับมิวสิควิดีโอเรื่องนี้ จองฮุน เดินทางมายัง อิมแกยอน เพื่อดูแลการถ่ายทำมิวสิควิดีโอ เขาได้พบกับ บ๊กชิล และรู้สึกประหลาดใจมากที่เธอมีหน้าตาเหมือนกับ เฮซู หญิงสาวที่ตนแอบหลงรักมาทั้งชีวิต แต่เพราะ เฮซู มีใจให้กับ ซึงฮี ทำให้เขาจำต้องเก็บงำความลับนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ ด้าน บ๊กชิล ตัดสินใจเดินทางเข้ามายังกรุงโซล เพื่อหางานทำตามคำชักชวนของ จองฮุน โดยเธอไม่รู้เลยว่าการที่ จองฮุน ออกปากชวนเธอนั้น เป็นเพียงการพูด ผ่านๆ ไม่ได้คิดจริงจัง แต่พอท้ายที่สุดแล้ว บ๊กชิลก็ได้เข้ามาร่วมงานในฐานะ พนักงานฝึกหัดประจำกองถ่าย ความใกล้ชิดทำให้ จองฮุน เริ่มรู้สึกหลงใหลในความเป็นสาวบ้านนอกของ บ๊กชิล จนกลายเป็นความรักโดยไม่รู้ตัว ส่วน ซึงฮี ถึงแม้ว่าดูภายนอกเขาจะแสดงทีท่าเฉยเมย แต่แท้จริงแล้วเขาก็มีใจให้กับ บ๊กชิล เช่นกัน หนุ่มสาวทั้งสามเริ่มสานสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นรักสามเส้า แต่ดูเหมือนว่า บ๊กชิล จะมอบหัวใจทั้ง 4 ห้องให้กับ ซึงฮี เสียแล้ว ทางเดินแห่งรักระหว่าง บ๊กชิล และ ซึงฮี ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอีกต่อไป เมื่อความจริงบางอย่างเปิดเผยว่า บ๊กชิล เป็นทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลลีและเป็นน้องสาวของ เฮซู คนรักเก่าของ ซึงฮี ซึ่งตกเป็นจำเลยของสังคมว่าเขาคือต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องเสียชีวิต ความสับสนเริ่มถาโถมเข้ามาภายในจิตใจ บ๊กชิล ต้องต่อสู้กับความรู้สึกของตนเองเพื่อหาบทสรุปให้กับชีวิต เธอจะทำอย่างไรเมื่อชายที่ตนรัก คือสาเหตุที่ทำให้พี่สาวของเธอต้องเสียชีวิต

ลิขิตรักละลายใจ






การเดินทางของสองหัวใจเริ่มต้นขึ้นจากหนังสือนิยาย เทพธิดาแห่งหิมะ ที่กล่าว ถึง เลพแลนด์ ดินแดนอันไกลโพ้น ซึ่งนำมาสู่เรื่องราวความรักและการพลัดพราก


ของ 2 หนุ่มสาว ช่อง 7 สี เตรียมนำมาสร้างความประทับใจและคราบน้ำตาใน “ลิขิตรัก...ละลายใจ” (THE SNOW QUEEN) ยอดภาพยนตร์นานาชาติวันเสาร์และอาทิตย์ เวลา 09.15 น. เริ่มตอนแรกวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน นี้

ฮัน แทวุง เด็กหนุ่มอัจฉริยะที่มีความสามารถเป็นเลิศทางด้านคณิตศาสตร์ เข้ามาเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมกวาฮัก ทำให้ คิม จองกิว รู้สึกว่าเขาเจอคู่แข่งคนสำคัญด้านการเรียนเสียแล้ว เนื่องจากที่ผ่านมาทั้ง อาจารย์ และ เพื่อนนักเรียน ต่างยอมรับในความปราดเปรื่องทางด้านคณิตศาสตร์ของเขา แต่พอ แทวุง เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในโรงเรียนและฉายแววความโดดเด่นทางด้านนี้ขึ้นมา ทำให้ความสำคัญของ จองกิว ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

หลังจากนั้น หากเป็นเรื่องของวิชาเรียนแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในชั้นเรียนใดก็ตาม จองกิว จะไม่ยอมเป็นรองให้กับ แทวุง เลย แต่ในที่สุดด้วยความจริงใจของ แทวุง และการเป็นคนตรงไปตรงมาของ จองกิว ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งคู่ต่างยอมรับในความสามารถของกันและกัน รู้สึกสนุกสนานยามได้เรียนและแบ่งปันความสุขจากการเรียนคณิตศาสตร์ร่วมกัน

วันหนึ่ง แทวุง ได้พบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังร้องขอซื้อหนังสือเรื่อง เทพธิดาหิมะ ขณะที่เขากำลังมองดูเหตุการณ์อยู่ มีนักเรียนหญิงวิ่งเข้าไปเพื่อที่จะทำร้ายและแย่งเงินจากเด็กหญิงคนนั้น แทวุง เข้าไปช่วยไว้ทันทำให้ทั้งสองได้รู้จักกัน ต่อมาเด็กหญิงหนีออกจากบ้าน เธอต้องการเดินทางไปที่ เลพแลนด์ ดินแดนที่เธอรู้จักในเทพนิยายเรื่อง เทพธิดาหิมะ ที่นั่นเด็กหญิงหวังว่าจะได้พบกับแม่ของเธอ ด้วยความช่วยเหลือและมิตรภาพที่ แทวุง มีให้แก่เด็กหญิงที่แสนจะโดดเดี่ยว ทำให้เธอตกหลุมรักพี่ชายคนนี้ แม้ว่าจะไม่รู้จักชื่อของกันและกันก็ตาม

แทวุง นัดเด็กหญิงไปพบกันที่สวนสนุกแห่งหนึ่ง เพื่อนำหนังสือ เทพธิดาหิมะ ที่เขาพยายามเสาะหามาให้แก่เด็กหญิงคนนั้น แต่ แทวุง กลับไม่ได้ไปตามสัญญา เนื่องจากเขาได้รับข่าวร้ายว่า จองกิว ฆ่าตัวตายหลังจากที่แพ้ แทวุง ในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก แทวุง เสียใจมากกับการสูญเสียในครั้งนี้ และรู้สึกผิดที่มีส่วนทำให้เพื่อนรักต้องจบชีวิต เขาตัดสินใจหันหลังให้กับการเรียน แล้วไปใช้ชีวิตอยู่ในค่ายมวยแห่งหนึ่ง โดยเปลี่ยนชื่อเป็น ฮัน ด๊กกู

8 ปีผ่านไป ฮัน ด๊กกู ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายมวยแห่งนั้น ทำหน้าที่เป็นคู่ซ้อมให้กับ ดองพิล นักมวยประจำค่าย วันหนึ่ง ด๊กกู มาเยี่ยมเพื่อนนักมวยร่วมค่ายที่โรงพยาบาล เขาได้พบกับ คิม โบรา ลูกสาวมหาเศรษฐีที่กำลังอาละวาดใส่หมอและพยาบาลอย่างหนัก แถมยังขู่ว่าจะฆ่าตัวตาย แทวุง ยื่นมือเข้าช่วยให้เธอสงบสติอารมณ์ลง และยอมรับการรักษาจากหมอโดยดี

ด๊กกู จับพลัดจับผลูมาทำงานเป็นคนขับรถส่วนตัวให้กับ โบรา ซึ่งทำให้เขาได้เห็นและเข้าใจว่า โบรา เป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร เนื่องจากเธอเจ็บป่วยอย่างทรมานจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงมาตั้งแต่เด็ก แถมชีวิตยังขาดความอบอุ่น เนื่องจากแม่ทิ้งเธอและพ่อไปมีครอบครัวใหม่ ทำให้ โบรา จึงประชดชีวิตด้วยการเอาแต่ใจ ใช้เงินเป็นเบี้ย และทำตัวเป็นคุณหนูตัวแสบที่ทุกคนที่อยู่ใกล้ต้องเข็ดขยาด

ด๊กกู เล่าเรื่องในอดีตเมื่อ 8 ปีก่อน เกี่ยวกับเด็กสาวที่ต้องการจะไป เลพแลนด์ ให้ โบรา ฟังโดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้ว เธอ คือ เด็กสาวคนนั้น โบรา คิดโกรธในใจที่ แทวุง จำตนเองไม่ได้ แต่ก็แอบดีใจลึกๆ ที่เธอได้พบกับพี่ชายใจดีที่เคยช่วยเหลือเธอเมื่อครั้งอดีต โบราตัดสินใจนัด แทวุง ไปที่สวนสนุกอีกครั้ง เพื่อรำลึกความหลัง แต่ แทวุง กลับผิดนัด โบรา โกรธมากที่เหตุการณ์ซ้ำรอยเดิม เธอจึงพยายามตัดใจจาก แทวุง และหันไปคบหากับ หมอกึนวู ซึ่งแอบหลงรักเธอตั้งแต่แรกพบ

ด๊กกู พา โบรา ไปหาหมอที่โรงพยาบาลทำให้เขาเจอกับ เจฮี เพื่อนสมัยเรียนมัธยม ซึ่งมาเป็นหมอฝึกหัดอยู่กับ กึนวู ทำให้เขารู้ว่า โบรา คือน้องสาวแท้ๆ ของ จองกิว ด้วยความรู้สึกผิดทำให้และกลัวว่าความลับที่ปกปิดมานานจะถูกเปิดเผย ด๊กกู จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นคนขับรถของ โบรา และหลบหน้าไม่พบเธออีกต่อไป

โบรา พยายามตามหา ด๊กกู โดยขอให้ จีเฮ ช่วยเหลือจนเธอรู้ว่า แท้จริงแล้ว ด๊กกู คือ ฮัน แทวุง ซึ่งเป็นเพื่อนรักของ จองกิว พี่ชายของเธอ และเป็นสาเหตุที่ทำให้ จองกิว ต้องเสียชีวิต เรื่องราวรู้ไปถึงหู ประธานคิม พ่อของ โบรา ทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะยิ่งเมื่อรู้ว่า โบรา กับ แทวุง ต่างมีใจให้แก่กัน ประธานคิมไล่ โบรา ออกจากบ้าน

โบรา หนีออกจากบ้านไปใช้ชีวิตอยู่กับ แทวุง ความใกล้ชิดทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งอาการของ โบรา ทรุดลงอย่างรวดเร็ว เธอไปปรึกษา หมอ กึนวู จึงได้รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน โบรา ไม่ต้องการให้ แทวุง รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงแสร้งทำเป็นทะเลาะกับ แทวุง ในวันที่เขาขอเธอแต่งงาน

แทวุง รู้สึกแปลกใจมากที่อยู่ๆ โบรา ก็เปลี่ยนไป เขาสืบจนรู้เรื่องราวทั้งหมด และพา โบรา ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งคล้ายกับ เลพแลนด์ ดินแดนในฝันของเธอ ก่อนที่เธอจะจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ

แลปแลนด์


แลปแลนด์ที่จะพูดถึงต่อไปนี้เป็นแลปแลนด์ในฟินแลนด์ค่ะ ซึ่งแลปแลนด์จะมีในสวีเดนด้วย
คำว่าแลปแลนด์นั้นเป็นภาษาสวีเดนค่ะ ส่วนชาวฟินด์แลนด์และซามิจะเรียกว่า Lappi
แลปแลนด์ตั้งอยู่บริเวณเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลภูมิอากาศจึงอยู่ที่อบอุ่น-หนาวเย็นค่ะ ซึ่งอากาศหนาวมากถึงจุดเยือกแข็งเลยเชียวล่ะค่ะ ช่วงหนาวจัดของแลปแลนด์อยู่ที่-30องศาค่ะ ภูมิอากาศเป็นแบบไทกา หรือแบบกึ่งขั้วโลกนั่นเอง
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง แลปแลนด์ก็ได้แยกตัวจากจังหวัดอูลูลู ของประเทศฟินด์แลนด์ในปี1936 หรือปีพ.ศ.2479 ของเรานั่นเอง
ถ้าเราต้องการจะไปแลปแลนด์จากฟินแลนด์ก็มีหลายทางง่ายๆให้เลือกตามแต่ต้องการค่ะ ไม่ว่าจะเป็นทาง รถบัส เท็กซี่ รถเช่า จักรยาน หรือถ้าเป็นที่ท่องเที่ยวใกล้ๆล่ะก็สามารถเดินไปได้ค่ะ
ถ้าไปจากประเทศไทยก็ต้องเดินทางโดยสายการบินฟินแอร์ของฟินแลนด์ไปลงที่กรุงเฮลซิงกิ ใช้เวลาประมาณ 9 ชั่วโมงค่ะ ไหนๆก็มาฟินแลนด์แล้วเที่ยวในเฮลซิงกิหน่อยก็ดีเหมือนกันนะคะ แล้วค่อยบินอีกประมาณชั่วโมงครึ่งไปลงที่ Rovaniemi นครหลวงของแลปแลนด์ค่ะ
แลปแลนด์ขึ้นชื่อเรื่องซานต้าคลอสค่ะ และเขาก็มีหมู่บ้านซานต้าคลอสให้ท่องเที่ยวจริงๆด้วย
คนในแลปแลนด์เรียกว่าชาวแลปป์หรือชาวซามิค่ะ ส่วนที่สวีเดนเรียกชาวแลปป์แลนด์ว่าฟินมาร์ค ชาวแลปป์นิยมลี้ยงกวางเรนเดียร์ไว้ใช้งานค่ะ ดังนั้นเมื่อเราไปแลปป์แลนด์ของที่น่าจะได้ติดไม้ติดมือมาก็คงไม่พ้นหนังกวางเรนเดียร์ค่ะ หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆจากกวางเรนเดียร์ ชาวแลปป์หรือชาวซามินั้นเป็นกลุ่มชาติพันธ์เก่าแก่ที่เคยโยกย้ายถิ่นฐานไปมาในเขตประเทศสวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ รัสเซีย เมื่อมีเส้นแบ่งพรมแดนพวกเขาจำต้องอาศัยอยู่ตามประเทศต่างๆ โดยประเทศในแถบสแกดิเนเวียให้สิทธิในการปกครองตนเอง พวกเขาสามารถเลือกผู้นำได้เองคงความเป็นชาติพันธุ์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายค่ะ
นักท่องเที่ยวจะพบสีสันของฤดูต่างๆค่ะ ไม่ว่าจะเป็น ฤดูเก็บเห็ด ฤดูล่าสัตว์ ฤดูตกปลา ย่างเข้าฤดูหนาวนักท่องเที่ยวสามารถเล่นสกี ขี่ลากเลื่อนที่เทียมด้วยเรนเดียร์ ในฤดูใบไม้ผลิแสงแดดจะเกลี่ยใบเบิร์ชผลิออกเป็นต้นแรกๆ เห็นอย่างนี้แล้ว ฤดูร้อนคราวหน้า หนีไปเที่ยวแลปแลนด์กันดีกว่าค่ะ
ขอบคุณแหล่งที่มาจาก
http://board.dserver.org/p/patccomp/00000099.html
http://www.siamzone.com/
http://www.laplandfinland.com/
http://my.dek-d.com/Writer/story/view.php?id=360904

The snow queen นิทานราชินีหิมะ






...ตำนานจะสร้างความทรงจำ ขอให้รักเปนดั่งในตำนาน......ตัวละครจะโลดแล่น ความฝันจะเปนดั่งในตำนาน....
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในดินแดนอันหนาวเหน็บ แลปแลนด์ ในปราสาทน้ำแข็งแสนสวยมีราชินีอยู่องค์นึง นางสวยมาก สวยจนใครต่อใครต่างหวังแย่งชิงหัวใจนาง แต่นางไม่มีหัวใจที่จะมอบให้ใครทั้งสิ้น วันคืนผ่านไป หัวใจที่หุ้มด้วยน้ำแข็งของนางก็ยังไม่ละลาย แต่ก็เกิดรอยรั่วในใจนางขึ้น นางต้องการที่จะอุดรอยนั้นซะ"ใครก็ได้ บอกเราที อะไรที่มันหายไป ไม่สิ อะไร ที่เราไม่เคยมีเราเป็นอะไร" เทอพร่ำถามกับตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ว่าเทอเปนอะไรแต่ก็ไม่มีใครที่จะตอบคำถามเทอได้ทุ่งหญ้าที่เขียวขจี ลายลมที่อบอุ่น เสียงหัวเราะดังสนั่นลั่นทุ่งกว้างความสุขที่ไม่เคยเสื่อมคลายไปจากหมู่บ้านนี้ "คิมแจจุง เราจะมีลูกกันซักกี่คนดี" เสียงหนึ่งดังขึ้น "ห๊ะ" คนถูกถามตกใจ "ชั้นถามว่า ไม่พูดแล้วเขิล" เทอเดินเลี่ยงออกมา"ร้อยคน เทอไหวป่ะล่ะ" เค้าก็เล่นไปกับเทอด้วยคำพุดนั้นทำให้ใบหน้าขาวแดงเถือก"บ้า" เทอตั้งใจจะวิ่งหนีเค้า แต่ก็ถูกมือที่แข็งแกร่งรั้งเอาไว้"จะหนีไปไหน ไม่ให้ไป เอาหอมทีนึง" เค้ารวบเทอไว้ในอ้อมกอดแล้วประทับริมฝีปากไว้บนแก้มใสนั่น"ไม่เอา เด๋วใครมาเห็น" เทอพยายามดันหน้าหนี แต่ใจจริงก็ดีใจที่เค้าทำอย่างนี้"ไม่เห็นต้องอายเลย อีกทีนะ มิเร" เสียงหัวเราะของคู่รักดังแข่งกับเสียงนกร้อง ได้ชื่อว่าตำนาน ก็คงจะไม่มีทางที่จะไม่มีที่แห่งนี้''ป่าอาถรรพ์''ไม่หนาว ไม่อบอุ่นแต่บรรยากาศที่นี่ มันอ้างว้าง โหวงเหวงความเงียบที่ทำให้ไม่มีใครเข้ามากร้ำกราย"มีความสุขกันนักหรือไง พวกโสโครกรอยยิ้มพวกแกก้แค่หน้ากากที่ใส่หากันยิ้มกันไปเถอะ อีกไม่นาน พวกแกจะยิ้มไม่ออก ชิส์"เสียงสบถดังลั่นป่า สัตว์ดุร้ายนานาชนิด เมื่อได้ยินถึงกับรีบเข้าไปซ่อนตัว เพราะอะไรน่ะเหรอเพราะยัยแม่มดเนมยอน โกรธเข้าแล้วล่ะสิหิมะที่ตกตลอดทั้งปี ลมหนาวที่ไม่เคยจากประเทศนี้ไปตอนนี้เป็นเวลาค่ำแล้ว อากาศก็ยิ่งหนาวเย็นขึ้นทุกที...โดดเดี่ยว ความเหงา รู้สึกอย่างนั้นไหม..."ใครน่ะ ใครพูด"...ข้าลืมไป ท่านไม่มีความรู้สึก..."นั่นใคร บอกเรามานะ ใคร"...ความรัก นั่นคือสิ่งที่ท่านโหยหา..."ความรักคืออะไร เจ้ารุ้ได้ไง เจ้าเป็นใคร"...ท่านไม่รู้จักมัน เพราะท่านไร้ความรู้สึก..."บอกเราเด๋วนี้ เจ้าเปนใคร"...ทิศใต้ ดินแดนแห่งความอบอุ่น ท่านจะได้พบมัน ความสุข ท่านจะไม่พบความเหงา ความหนาว มันจะเติมเต็มในส่วนที่ขาดหาย..."เจ้าบอกข้ามาก่อน ว่าเจ้าเปนใคร แล้วที่นั่นมันที่ไหน"...คู่แท้ของท่าน รอท่านอยู่ ไปเถิดราชินี เจ้าจะได้พบมัน ความรัก...เหงื่อโชกเต็มหน้าใบหน้ารูปไข่ ใช่ เทอฝันไปแต่นั่นมันช่างเหมือนความจริง ทิศใต้งั้นเหรอ ...ราชินีเชื่อในคำยุของคนในฝัน นางเดินทางออกไปทางทิศใต้วันเวลาผ่านไปแสนนาน อากาศที่เปลี่ยนไป มันก็ไม่ได้ทำให้ราชินีหวั่น วันแล้ววันเล่าที่เทอเดินทางไปโดยลำพังเผชิญอุปสรรคมากมาย แล้วเทอก็ได้พบ ดินแดนที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าที่เขียวขจี เหมือนจะมีอะไรที่เทอไม่มี หรือว่ามันจะเปนความสุข..ราชินีฮีซอล ซอล หิมะ ความหนาวเย็นที่เป็นเพื่อนเทอมาตั้งแต่เยาว์วัยและมันจะไม่มีวันจากเทอไป ฮี ความปราถนา เทอกำลังต้องการมันเทอโหยหา เทอปราถนา ความรัก



เคยมีใครบอกไหมว่าเวลาทำอะไรถ้าผลลัพธ์มันเปน0 อย่าทำมัน เพราะไม่แน่สิ่งที่ตอบแทนจริงๆ อาจจะติดลบก็เปนไปได้ราชินีเดินทางไปยังหลายดินแดน เธอออกจากแลปแลนด์ ดินแดนแห่งหิมะ บ้านเกิดของเธอออกไปไปอย่างไม่รุ้ทิศทาง หวังแค่ว่า หัวใจจะเปนคนนำทางเธอแล้ววันนั้นก็มาถึง หมดแล้วการรอคอย เธอได้พบกับมันสิ่งที่เทอใฝ่หามาตลอด ความอบอุ่น..."มิเร มิเรรอชั้นก่อนสิ" เสียงเรียกตามหลังหญิงสาวมาติดๆ"มีอะไรอีกล่ะ ชั้นบอกว่าอย่าเดินตามไง" เธอรำคาญเค้ามากทั้งๆที่เธอมีคนรักอยู่แล้วแท้ๆ แต่เค้ากลับตามตื้อเธออยุ่ได้"คือ ชั้นจะบอกเธอว่า ไปเก็บดอกไม้กัน" เค้าหยิบยื่นรอยยิ้มที่สดใสให้เธอ"ชั้นไม่ว่างล่ะ นายไปคนเดียวเถอะนะ ชองยุนโฮ " เธอบอกลาเค้าแล้วเดินไป"ชั้นก็รู้ ว่าเทอให้เวลากับเค้าคนเดียว" เสียงพึมพำในลำคอของเค้าแสดงถึงอารมณ์ที่โดดเดี่ยว เค้ารักเธอ แต่เธอ ไม่แม้แต่จะเปิดใจให้เค้า"แจจุง แจจุง" เสียงเรียกทำให้คนถูกเรียกหันไปตอบรับ"ครับคุณลุง" แจจุงเดินออกมาจากบ้าน "ลุงวานไรหน่อยสิ ช่วยไปเก็บดอกไม้ให้ลุงหน่อย ป้าแกอยากได้"ชายชราว่ายวานชายหนุ่ม"ได้ครับคุณลุง" สำหรับเค้า ลุงก็เหมือนพ่อของเค้า เค้าจึงรีบไปเก็บ''ร้อน ทำไมที่นี่ร้อนอย่างนี้เนี่ย แล้วเราจะเดินไปทางไหนต่อดีเอ๊ะ นั่นอะไรน่ะ สวยจัง'' ราชินีฮีซอลเดินเข้าสู่ทุ่งดอกไม้กว้างเพราะแลปแลนด์เปนดินแดนที่หิมะจะตกตลอดปี จึงไม่มีดอกไม้ใดมีชีวิตอยู่ได้''กินได้ไหมนะ'' ด้วยความที่ไม่รู้จัก เธอเด็ดมันเข้าปาก''อร่อยนี่นา นึกว่าจะแย่ซะอีก'' ราชินีเดินเก็บดอกไม้กินไปเรื่อย"คุณป้าชอบดอกไม้สีม่วงนี่นา เก็บไปเยอะๆดีกว่า" ชายหนุ่มเดินเก็บดอกไม้ไปเรื่อย ตาก็มองไปเห็นหญิงสาวคนนึง ทำท่าทางประหลาดอยู่"คุณ คุณครับ" เค้าเรียกเธอ''อะไรกัน ผู้ชายคนนี้'' เธอหันไปหาเค้า ทั้งๆที่ปากยังคาบดอกไม้อยุ่"เฮ้ยย กินไปได้ไง" เค้ารีบวิ่งไปเอาดอกไม้ออกจากปากเธอ ใจก็คิดอยู่ว่าคงจะเป็นคนสติไม่ดี แต่ยิ่งเข้าไปใกล้ ก็ยิ่งเห็นความงาม ที่น่าหลงใหล''...'' เธอมองเค้าตาไม่กระพริบ"ผลหล่อเกินไปเหรอครับ" ทำไมเธอถึงมองเค้าตาไม่กระพริบเธอสวยมาก สวยที่สุดเท่าที่เค้าเคยเหนมา แจจุงตกใจที่ตัวเองมองผู้หญิงตาไม่กระพริบอย่างนี้ ขนาดมิเรเค้ายังไม่มองขนาดนี้เลย"เป็นใบ้เปล่าวะเนี่ย" แจจุงตั้งคำถามขึ้น"ไปอยู่กับชั้นไหม" คำพูดแรกที่ดังออกจากปากเรียวเล่นเอาแจจุงตกใจจนเกือบทำตระกร้าดอกไม้หล่นจากมือ"คุณว่าไงนะครับ ล้อกันเล่นน่า" เค้าฉีกยิ้มให้เทอ"คุณอยากได้อะไร ชั้นหาให้คุณได้นะ ไปอยู่กับชั้น"คำพูดที่ไร้ความรู้สึกดังขึ้นอีกครั้ง ฮีซอลเดินเข้าไปจับใบหน้าสวยของคนข้างหน้า"เฮ้ยยๆๆ ผมว่าคุณไม่สบายแล้วล่ะ แล้วเจอกันนะครับ"เค้าถอยตัวออกจากฮีซอล แล้วพยายามเดินจากไป"ชั้นต้องการใครซักคน" คำพูดที่ทำให้ชายหนุ่มถึงกับสะดุดเค้าหันไปมองเธอ ใจจริงเค้าก็รู้สึกสงสารเธอ เหมือนเธอจะไม่มีการแสดงอะไรออกมา แต่แววตาเธอก็ดูเศร้าหมอง"เอ่อ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ" แจจุงเลือกที่จะเดินย้อนกลับมาอีกครั้ง บอกได้เลยว่าเค้าเองก็ห่วงผู้หญิงที่เพิ่งเจอคนนี้เหมือนกัน"คุณชื่ออะไร" คำพูดที่ไร้ความรู้สึกถูกเอ่ยออกมาอีกครั้ง แต่เค้าก็ไม่เลือกที่จะเลี่ยงมัน"คิมแจจุงครับ" เค้าบอกเธอ เค้าส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นให้เธอ"แจจุง!!" ร่างเล็กในชุดสีชมพูปลิวสไววิ่งขึ้นมาบนเนิน"มิเร" แจจุงเอ่ยชื่อคนรัก ฮีซอลหันมองไปตามเสียงนั้น"นั่นใครน่ะแจจุง""ไม่รู้สิ เหมือนเธอจะไม่สบาย""ไม่สบายตรงไหน มองตาเป็นมันเลย" มิเรเสียดสีฮีซอลถึงฮีซอลจะไม่มีความรู้สึก ก็ใช่ว่าเธอจะไม่ตอบโต้"มนุษย์ป่าเถื่อนขี้เหล่อย่างนี้ยังมีอยู่บนโลกนี้อีกเหรอ" ฮีซอลพึมพำขึ้น"เธอว่าใคร" มิเรโกรธ เธอวิ่งเข้าไปกะทำร้ายร่างกายฝ่ายตรงข้ามแต่ก็ถูกแจจุงห้ามไว้ก่อน"ไปกันเถอะมิเร" แจจุงจับมือแฟนสาวแล้วเดินไป"ไม่ไปอยู่กับชั้นจริงๆเหรอ" เสียงพูดดังตามหลังทั้งคู่ไปแต่มันก็กลืนไปกับสายลมที่อบอุ่นเจอแล้วล่ะ สิ่งที่รอคอยและเฝ้าหามาตลอด รอยยิ้มนั้นมันทำให้หัวใจของราชินีเต็มเปี่ยมไปด้วยความอิ่มเอมใจทั้งชีวิตเธอไม่เคยแม้แต่จะพบมัน รอยยิ้มที่พ่อและแม่ให้มันไม่ได้ให้ความสุขกับเธอเลย แต่วันนี้ เมื่อเจอเค้าพอได้เห็นรอยยิ้มของเค้า เห็นสายตาคู่นั้น ได้รับรู้ถึงกลิ่นไอของเค้า ราชินีมั่นใจแล้วล่ะ ว่าผู้ชายคนนั้นผู้ชายที่ชื่อคิมแจจุง คือคนที่เธอเฝ้าหามาตลอดและเค้าก็จะเป็นคนสอนให้เธอรู้จักคำว่า ความรู้สึก...ในหมู่บ้านแนวเชิงเขา แจจุงเดินมาส่งมิเรที่บ้านระหว่างทางไม่มีบทสนทนาใดๆเกิดขึ้น"แจ ชั้นพูดตรงๆนะ ชั้นยังไม่หายติดใจเรื่องผู้หญิงคนนั้น"มิเรเริ่มต้นพูดขึ้น "ผมบอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรจริงๆ" แจจุงพยายามอธิบายให้เธอเข้าใจบรรยากาศที่เงียบสงัดกำลังจะถูกทำลายลง"มิเรเชื่อแจนะ แต่ผู้หญิงคนนั้นสวยมากอ่ะ มิเร มิเระ" เธอเอามือขึ้นมากุมหัว บางทีเธอเองก็คิดว่าเธอคิดมากไปเอง แล้วมันก็อาจจะทำให้เค้ารำคาญเธอ"มิเร ไม่เอาน่า ยังไงผมก็รักคุณคนเดียวนะ" ชายหนุ่มสวมกอดหญิงสาวร่างเล็กในอ้อมอกยิ้มออกอย่างดีใจ เธออยากให้เป็นอย่างนี้ตลอดไป เพราะความรักเพราะเธอรักเค้ามาก เธอถึงหวง ไม่อยากให้ใครพลากเค้าไป"วันหลังชวนมิเรไปด้วยสิ ดอกไม้สวยมากเลยนะ วันนี้มิเรว่างๆ เหงาจะตาย" ร่างบางในอ้อมอกอ้อนเค้า แจจุงก้มลงจูบหัวมิเรเบาๆด้วยความรัก การกระทำของทั้งสองทำให้ความผูกพันยิ่งแนบแน่น แต่มันกลับทำให้อีกคนที่มองอยู่เจ็บปวดตามไปด้วย ..ทั้งๆที่เค้าเอ่ยปากชวนเธอ แต่เธอกลับบอกว่าไม่ว่าง เค้ารู้ตัวว่าเธอไม่มีใจให้เค้าเลยมิเร ซักวัน ขอร้องล่ะ ซักวันเธอจะมองชั้นอย่างคนรักได้ไหม มองชองยุนโฮคนนี้ได้ไหม...เช้าวันใหม่ แจจุงรีบออกมาจากบ้านแต่เช้าโดยที่ไม่ได้บอกใครว่าไปไหน เค้าวิ่งตรงขึ้นไปบนเนินเขา เพื่อที่จะไปเก็บดอกไม้ให้มิเร "คุณ ยังไม่กลับบ้านเหรอ" แจจุงประหลาดใจมากเค้าพบกับผู้หญิงเมื่อวาน เธอยังอยู่ในที่ๆเดิมไม่ไปไหน"ชั้นคิดว่าคุณจะมาอีก" "เอ่อ บ้านคุณอยู่ไหน เดี๋ยวผมพาไป" เค้าเสนอตัวไปส่งเธอ"แลปแลนด์" เธอพูดเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน"ที่ไหนนะครับ" แจจุงไม่ได้ยิน เค้าเขยิบตัวเข้าไปใกล้"มันไกลมาก ชั้นยังกลับไม่ได้" เธอเปลี่ยนคำตอบที่จะบอกเค้า"แล้วผมช่วยอะไรคุณได้บ้าง" เค้าไม่กล้าที่จะช่วยเหลือเธอคงเพราะความสวยเลยทำให้เค้ายังอายอยู่"ไปกับชั้น" เธอยังไม่เลิกตื้อเค้า สายตาของเธอเริ่มทำให้เค้าใจอ่อน"งั้นคุณไปพักที่บ้านผมก่อน แล้วค่อยว่ากัน" แจจุงเลือกที่จะพาเธอไปที่บ้าน เค้าเองก็กลัวมิเรจะโกรธ แต่เค้าก็ไม่อยากทิ้งผู้หญิงคนนี้ไว้คนเดียว"นี่ๆ เห็นแจจุงไหม" มิเรเดินถามคนรอบหมู่บ้าน แต่ก็ไม่มีใครเห็นเค้า"แล้วเห็นยุนโฮหรือป่าว " จากปกติที่ตาบ้านั่นต้องมาตามตื้อเธอทุกวัน แต่วันนี้กลับไม่เห็นเค้า"ยุนโฮเหรอ อืม ถ้าจะเจอยุนโฮ ต้องไม่ใช่วันพระจันทร์เต็มดวง เค้าจะไม่ออกมาให้ใครเห็นหรอก" ชาวบ้านบอกกับมิเร แปลก ทั้งๆที่ยุนโฮอยู่หมู่บ้านนี้มาจะปีแล้วแต่เธอกลับไม่เคยสังเกตุ"ขอบใจนะ" เธอเดินกลับไปที่บ้านของแจจุงแจจุงพาฮีซอลไปที่บ้าน เค้าอาศัยอยู่คนเดียวลุงกับป้าของเค้าอยู่ข้างๆบ้าน ชายหนุ่มเดินไปรินชาใส่แก้ว แล้วยื่นให้หญิงสาว"คุณชื่ออะไรครับ" แจจุงนั่งลงแล้วถามเธอก่อนที่จะจิบน้ำชา"ฮีซอล ปาร์คฮีซอล" "หิมะ ฟังดูอบอุ่นจังเลยครับ" เค้ายิ้มออกมาเพียงแค่รอยยิ้มนั้นก็ทำให้เธอยิ่งปราถนาในตัวเค้ายิ่งขึ้นไปอีก"ไปกับชั้นไหม ที่นั่น ที่บ้านของชั้นมีหิมะเต็มไปหมด" เธอใช้สายตาอ้อนวอนเกลี้ยกล่อมเค้าแจจุงพยายามที่จะหลีกเลี่ยงเธอ"เอ่อ ผมว่าคุณดื่มชาให้หมดก่อนดีกว่า"แล้วเค้าก็เงียบไป"แจ!!" มิเรวิ่งเข้ามาในบ้านเมื่อเห็นท่าทีว่าเจ้าของบ้านกลับมาแล้ว"เธอ แจผู้หญิงคนนี้" มิเรหันไปถามคนรัก"ฮีซอลน่ะ บ้านเธออยู่ไกล ผมเลยให้เค้าอยู่ด้วยกันก่อน" มันยากที่จะพูดคำพูดทั้งหมดออกมาเค้ารู้ว่ามิเรไม่พอใจ แต่เค้าจะทำยังไงได้ "ไม่เป็นไรค่ะ แจจุง ชั้นเข้าใจ ฮีซอลชั้นชื่อมิเรนะ" มิเรยิ้มให้ฮีซอล ฮีซอลเข้าใจว่านั่นไม่ใช่รอยยิ้มที่เป็นมิตรนัก"แลปแลนด์" คำพูดที่ออกมาจากปากคนที่เงียบมาตลอด"เธอพูดถึงที่ไหนนะฮีซอล " มิเรยื่นหน้าเข้าไปใกล้"บ้านของชั้น แลปแลนด์" "ชั้นว่าเธอไปนอนดีกว่าไป" มิเรดึงตัวฮีซอลมาจากแจจุงไม่ใช่ว่าเธออยากดูแลผู้หญิงคนนี้ แต่เธอไม่อยากให้ฮีซอลมาทำร้ายความรักของเธอ ทั้งๆที่เธอรู้ว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้คืนนั้นฮีซอลนอนที่บ้านของมิเรมิเรอาสาที่จะดูแลฮีซอลจนกว่าเธอจะไป ราชินีผู้ทรงสง่าตื่นขึ้นจากภวังค์เธอไม่อยากให้เวลามันผ่านเนิ่นนานไปกว่านี้เธอตรงไปที่บ้านของแจจุง ใครว่าเวทย์มนต์คถาไม่มีจริง ในดินแดนแห่งหิมะแลปแลนด์ ที่ซึ่งทุกคนคิดว่ามันเป็นเพียงแค่นิทานป่าอาถรรพ์ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง ที่เหล่านั้นเต็มไปด้วยเวทมนต์คถาและความลี้ลับแม้เวทย์มนต์จะช่วยอะไรได้หลายอย่างแต่มันก็ไม่อาจช่วยให้ใจของชายคนนี้รักเธอไม่อาจช่วยให้เธอเจอความรักไม่อาจช่วยให้เธอเข้าใจถึงความรักราชินีรีบพาตัวแจจุงกลับไปไปที่แลปแลนด์............
ราชินีฮีซอลลักพาตัวแจจุงมาที่แลปแลนด์เวลาผ่านไปหลายค่ำคืนแล้ว แต่มนต์ที่เป่าลงไปกลับยังไม่เสื่อมคลาย ชายหนุ่มยังไม่ฟื้นจากมนต์สะกด ราชินีร้อนใจกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรเธอรีบตรงเข้าไปที่ป่าอาถรรพ์ เพื่อขอความช่วยเหลือจากนางแม่มดเนมยอนก๊อกๆๆ เสียงเคาะประตูไม้ผุๆดังขึ้นกลางป่าที่เงียบสงบสัตว์ร้ายมากมายที่เกรงต่ออำนาจของราชินีถอยหลบกันไป"อ้าว ข้าก็นึกว่าใคร ราชินีฮีซอลผู้สวยงามนี่เอง"นางแม่มดใกล้ลงโลงออกมาต้อนรับหญิงสาว"เจ้าเคยไปเข้าฝันเรา ใช่ไหม" ด้วยความชาญฉลาดของราชินีเธอจึงได้ทราบ ราชินีเดินเข้าไปในบ้านไม้เก่าผุๆ กลิ่นและบรรยากาศภายในมีแต่กลิ่นเหม็นเน่า หนู แมลงสาปมากมายวิ่งกันให้เกลื่อนกลาด เธอเดินไปที่เก้าอี้ที่ดูจะสะอาดที่สุดแล้วย่อนตัวลง"เค้ายังไม่ฟื้นจากมนต์ใช่ไหมราชินี" นางแม่มดพูดขึ้นแต่ราชินีฮีซอลก็ไม่ได้แปลกใจเลยที่นางจะรู้ ก็นางเป็นแม่มดนี่นา"เราจะทำยังไงดี" นางแม่มดเดินไปที่หม้อยา ดวงตาที่ชี้ขึ้นเพ่งมองราชินีที่มาขอความช่วยเหลือ"ท่านปากเหม็นไปหรือเปล่า เขาถึงยังไม่ฟื้นน่ะ"นางแม่มดยั่วอารมณ์ราชินี เส้นเลือดบนใบหน้าของหล่อนเด่นชัดขึ้นมา นางแม่มดเองก็หลงรักแจจุง นางต้องการให้ราชินีไปพาตัวมาเพื่อนางจะได้ลักตัวไป แต่ในเมื่อราชินีมาขอความช่วยเหลือ นางจึงคิดแผนขึ้นมา"เอางี้ดีกว่าราชินี ท่านเอายานี่ไปให้ผู้ชายคนนั้นกิน แล้วเค้าจะฟื้น"แม่มดเนมยอนยื่นหลอดที่ภายในบรรจุยาเอาไว้ให้ราชินีฮีซอล"เราไม่คิดว่าเจ้าจะให้เราฟรีๆหรอกนะ" ราชินีไม่ยื่นมือเข้าไปรับเธอซักถามก่อนที่จะหลวมตัว"ก็แน่นอนอยู่แล้ว แต่ข้อแลกเปลี่ยนมันต้องต่อไปจากนี้สิแม่มดแสยะยิ้มแล้วยัดหลอดยาใส่มือราชินี"หวังว่ามันคงไม่เกินความสามารถของเราหรอกนะ"เพราะแม่มดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เชื่อไม่ได้ นางจึงต้องระวังตัวเป็นพิเศษ"หึหึ แน่นอนราชินี" แม่มดพูดทิ้งท้ายก่อนที่ราชินีจะเดินออกไป"มันเกินกว่าที่เจ้าคิดไว้แน่นอน ฮีซอล" อย่างงี้น่ะสิ ราชินีถึงไม่ค่อยอยากไว้ใจแม่มดเนมยอน แม่มดอย่างเนมยอนเป็นพวกสับปรับ ที่ราชินียอมข้อตกลงก็เพราะจะต้องรีบไปช่วยแจจุง ความรักที่กำลังเกิดขึ้นในใจเธอทำให้เธอไม่ระวังตัวแล้วข้อแลกเปลี่ยนของนางแม่มดเนมยอนจะเป็นอะไรกันนะไม่ใช่แค่ราชินีเท่านั้นที่กำลังกระวนกระวายใจอีกฝั่งนึงของโลก ก็มีอีกคนที่กำลังว้าวุ่นอยุ่กับชายคนรักที่ถูกพาตัวไปอีกซีกโลกแล้วเช่นกัน"ยุนโฮ นายเห็นแจจุงไหม" ร่างเล้กวิ่งตรงไปถามชายหนุ่มที่กำลังผ่าฟืนอยู่"ไม่ได้อยุ่บ้านเหรอ ชั้นก็ไม่เห็นมาสองสามวันแล้วนะ" เค้าตอบเธอด้วยรอยยิ้ม"ช่างเหอะ นายมันจะไปรู้อะไร หมกตัวอยู่ในบ้านทำไมล่ะวันนั้นอ่ะ"มิเรถามยุนโฮ เธอห่วงแต่แจจุง โดยไม่ได้สนใจความรู้สึกของคนที่ถูกถามอยู่เลย"อ่อ ไม่มีอะไรหรอก " ยุนโฮพยายามเลี่ยงที่จะตอบคำถามเธอ"ทำตัวอย่างกับมนุษย์หมาป่า" มิเรประชดแล้วเดินออกจากบ้านยุนโฮไปมันทำให้ชายหนุ่มตกใจไม่น้อยเลย"โชคดีนะ" คำอวยพรที่ออกมาจากริมฝีปากของคนที่เป็นห่วงเธอแต่มันกลับไม่ส่งไปถึงเธอเลย มิเรกลับสู่ดินแดนแลปแลนด์อีกครา ราชินีหิมะวิ่งไปที่ห้องพักของชายหนุ่ม แต่สิ่งที่เธอพบ กลับกลายเป็นว่า เค้าได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว แม้ความพยายามที่ไปเอายาของเธอจะไม่ได้มีความหมายอะไรแต่เธอก็รู้สึกดี ที่เค้าฟื้นขึ้นมาแจจุงมองมาที่หญิงสาว ดวงตาที่เหม่อลอยของเค้าต้องสะดุดลงเมื่อไหร่เธอ ผู้หญิงที่เขาเจอแล้วรับมาดูแล ตอนนี้เธอยืนอยู่ข้างหน้าเขาในที่ที่ไม่คุ้นเคย ความหนาวเย็นที่เขาสัมผัสได้ว่ามันไม่ใช่บ้านเกิดของเขาเมื่อเขาระลึกความทรงจำได้ เขาพยายามที่จะหนีเอาตัวรอดตามสัญชาตญาณเขาพยายามที่จะวิ่งออกไปจากห้องนั้น แต่ก็ไปไม่รอด สภาพร่างกายของเขายังไม่พร้อมที่จะหนีไปพอ ราชินีเดินไปที่ร่างที่ล้มลงนั้น เธอประครองชายหนุ่มขึ้นมาแล้วพยุงไปที่เตียง เธอปล่อยร่างของแจจุงลงบนเตียงแล้วจัดผ้าให้เรียบร้อย"ที่นี่คือแลปแลนด์ ที่เธอบอกใช่ไหม" แจจุงยิงคำถามไปที่ร่างสง่าข้างหน้าราชินีหันสายตาที่ว่างเปล่าไม่เคยมีอะไรมาที่เขา"พักผ่อนซะ ร่างกายยังไม่แข็งแรงพอ" น้ำเสียงเย็นชาแฝงไปด้วยความห่วงใยบอกกับชายหนุ่ม เธอยื่นน้ำอุ่นให้เค้า แล้วเดินออกจากห้องไปปล่อยให้ชายหนุ่งตกลงสุ่ห้วงนิทราอีกครั้งข่าวที่เพิ่งกระทบหูของยุนโฮ ทำให้เขาต้องรีบไปที่บ้านของหญิงที่แอบรัก ร่างสูงวิ่งกระหืดกระหอบตามหลังหญิงสาวมือหนาจับร่างบางนั้นไว้"นายทำอะไรของนายน่ะยุนโฮ ปล่อยชั้นนะ" มิเรดิ้นออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม"ไม่ เธอจะไปไหนมิเร" ยุนโฮไม่ยอมละอ้อมกอดออกจากหญิงสาว"ชั้นจะไปแลปแลนด์ ชั้นจะไปตามแจจุงกลับมา" คำพูดนั้นทำให้ร่างสูงผ่อนแรงมือ มิเรเลยออกจากกันรัดกุมไปได้"แจจุง อีกแล้วเหรอ" น้ำเสียงสั่นเครือถามหญิงสาว มิเรพยายามหลบสายตายุนโฮ เธอรุ้ว่าคนตรงหน้ามีความรุ้สึกดีดีให้เธอมากแค่ไหน เพียงแต่ว่าเธอไม่กล้าที่จะเปิดใจให้เขาเพราะกลัวความรักที่มีให้แจจุงมันจะจางลง มิเรหันหลังกลับไป เธอก้าวเดินออกไป ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าแลปแลนด์มันอยุ่ที่ไหน ด้วยความรักและความเป็นห่วง ยุนโฮออกเดินทางไปพร้อมกับมิเร โดยที่เขาเองลืมคิดถึงวันพระจันทร์เต็มดวงไปเลย
มิเรและยุนโฮออกเดินทางตามหาแจจุงทั้งๆที่ไม่รุ้ว่าแลปแลนด์อยู่ทิศใดของโลกมิเรคิดแค่ว่า ความรักของเธอจะนำทางไปหาคนที่เธอรักเอง ความเศร้าหมองที่เธอแสดงออกมานั้น ทำให้ชายหนุ่มที่เดินทางมากับเธอรู้สึกแย่ลงไป"มิเร ผมว่าพักหน่อยดีไหม" ยุนโฮถามหญิงสาด้วยความเป็นห่วง ทั้งคุ่ออกเดินทางกันมาทั้งคืนแล้ว แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับไม่แสดงท่าทางเหนื่อยล้าออกมาเลย มันยิ่งทำให้เค้ารู้สึกเป็นห่วงเธอมากขึ้น"ไม่ล่ะ ถ้าเราพักมันก็ต้องเสียเวลามากขึ้นไปอีกชั้นไม่อยากไปสาย ป่านนี้ผู้หญิงคนนั้นจะทำอะไรแจไปถึงไหนแล้วก็ไม่รุ้" ยุนโฮเข้าใจความเป็นห่วงของเธอ แต่เค้าเองก็เป็นห่วงเธอเช่นกัน คิดแล้วก็สงสัยว่าทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงต้องพาตัวแจจุงไป"แต่เธอจะไม่สบายเอาได้" ความเป็นห่วงของชายหนุ่มมันไม่ทำให้มิเรหมดความพยายามไปเลย สายตาที่อ้อนวอนคู่นั้นจับจ้องไปที่หญิงสาว ด้วยความใจอ่อนทำให้มิเรยอมหยุดพักร่างสูงที่ตื่นจากภวังค์ รีบหาวิธีเอาตัวรอด เขายังมีคนที่รักรออยู่แจจุงวิ่งออกมาจากปราสาท ด้านหน้าเค้ามีแต่หิมะขาวโพลนมองไปทางไหนก็ไม่เห็นอะไรนอกจากหิมะและความหนาวเย็นเค้าไม่ละทิ้งความพยายาม ทั้งๆที่อุส่าออกมาได้ขนาดนี้แล้ว จะถอยหลังกลับไปก็กระไรอยู่ แจจุงวิ่งไป วิ่งไปโดยไม่รู้จุดหมายดูเหมือนบรรยากาศจะไม่อำนวยกับชายหนุ่ม หิมะโถกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด เสื้อผ้าน้อยที่ไม่หนามากของเค้าทำให้ความรู้สึกหนาวเกินขึ้นอย่างรวดเร็ว...รนหาที่ตายแท้ๆ คิมแจจุงขาทั้งสองข้างหมดแรงลง ร่างสูงทรุดตัวลงท่ามกลางหิมะหนาใบหน้าที่ซีดเซียว ริมฝีปากเปลี่ยนจากสีแดงอิ่มเป็นสีแดงที่แทบจะขาว ร่างกายสั่นไหว ก่อนที่ความรู้สึกสุดท้ายจะวูบไป เสียงๆนึงก็เข้ามาในโสตประสาท ร่างที่เหมือนกำลังก้มมาคุยกับเค้า"ไปนอนเล่นในหิมะทำไม แจจุง"แค่กๆ แค่กๆ เสียงไอดังก้องในห้องกว้าง ทำให้ร่างบางรีบเดินตามเสียงนั้นไป"ชั้นจะกลับบ้าน แค่กๆ" คนที่ไม่หายจากเชื้อหวัดดื้อรั้นจะกลับบ้าน ราชินีประคองตัวของแจจุงขึ้น แล้วป้อนน้ำอุ่นเข้าปาก"ไม่ มะ...อื้มๆ .." ร่างสูงดิ้นบนตักของฮีซอล น้ำที่ป้อนเข้าปากกำลังทำให้เค้าสำลัก"ก็กินให้มันดีดีสิ" เพราะเธอไม่พูดอะไรออกมาทำให้เค้าไม่รู้ถึงใจเธอ ว่าเธอต้องการอะไรกันแน่เวลาผ่านไปไม่กี่วัน แจจุงก็หายดี เค้าเลือกที่จะไม่หนีไปแต่เค้าจะแก้ปัญหาที่ตัวปัญหา แจจุงเดินทั่วปราสาท เพื่อตามหาตัวราชินีฮีซอล ถึงตอนนี้เค้าเองก็ทราบสถานะของหญิงสาวแล้ว แต่เค้ากลับแปลกใจ ว่าทำไมในปราสาทนี้ถึงไม่มีใครเลย"เค้ากลับไปบ้านกันหมดน่ะ อีกสองวันคงกลับมา"เสียงที่ดังขึ้นข้างหลังเค้า เหมือนจะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยุ่"เอ่อ เธอ " แจจุงสะดุ้งกับร่างที่กำลังเดินเข้ามา"หายดีแล้วเหรอ" น้ำเสียงที่ดูเหมือนจะไม่มีความรู้สึกแต่มันกลับแฝงไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย"หายดีแล้วล่ะ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณหน่อย"ภายในห้องโถง อากาศก็ไม่ได้อบอุ่นไปกว่าข้างนอกเลยแจจุงที่ยังรับอากาศของที่นี่ไม่ได้ ถึงกับหนาวสั่นไปทั้งกายฮีซอลที่เห็นชายหนุ่มสั่นเพราะความหนาว จึงเดินไปหยิบเสื้อขนเฟอร์มากระชับกายให้เค้า"มีอะไรจะคุยกับเรา.." เสียงที่ไม่กล้าที่จะพูดออกมาเป็นฝ่ายเริ่มต้น แต่ชายหนุ่มกลับไม่โต้ตอบคำพูดอะไรออกไปเขาเฝ้านั่งมองหน้าเธอผ่านไปหลายนาที....เขาก็ยังมองใบหน้าที่ไร้อารมณ์อยู่อย่างนั้น"คุณพาตัวผมมาทำไม" ในที่สุดความเงียบก็ยุติลง แจจุงพุ่งคำถามใส่ราชินี แต่คำตอบที่กลับมามันก็ทำให้เค้าเงียบไปได้อีกนาน ...ไม่รู้...คนสองคนที่กำลังออกเดินทางไปทุกสารทิศตอนนี้ก็ใกล้ค่ำแล้วทั้งสองแวะพักที่โคนต้นไม้ใหญ่ ร่างสูงร้อนใจมาก อีกไม่กี่วันก็วันพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งแล้ว มันคงจะยุ่งมาก ถ้าเค้ายังไม่พ้นเขตป่า"มิเร เธอรักแจจุงมากเลยเหรอ" คำถามที่ไม่สมควรจะถามถูกถามขึ้น ยุนโฮก็น่าจะรุ้ว่าไม่ควรเอ่ยชื่อแจจุงขึ้นมาอีก แค่นี้เธอก็เจ็บพอแล้ว"มากสิ ไม่งั้นชั้นคงไม่ออกมาตามหาเค้าอย่างนี้หรอกแจอ่ะ เป็นเพื่อนชั้นมาตั้งแต่สมัยเด็กเลยล่ะ มีอะไรเค้าก็ช่วยชั้นตลอด..........."คำพูดที่กำลังยกย่องชายที่เป็นศัตรูหัวใจของเค้ากำลังถูกถ่ายทอดออกมาจากใจหญิงอันเป็นที่รักทำไมนะ ... ทำไมชองยุนโฮคนนี้ ถึงได้รู้สึกว่าซองมิเร ไม่ได้รัก คิมแจจุง......อย่างคำว่าคนรัก
ความเงียบสงบภายใต้ห้องโถงใหญ่ที่หนาวเย็นคำตอบที่ทำให้ชายหนุ่มไม่คำพูดที่จะต่อกลับทั้งสองได้แต่นั่งมองตากันแจจุงหลบสายตาออกมา เค้าลุกขึ้นแล้วเดินไปหาอะไรอุ่นๆมากินปราสาทที่ทำจากน้ำแข็ง ถ้าเป็นที่เมืองของเค้า มันคงจะละลายทับเค้าไปแล้ว แต่ที่นี่ ถึงโลกจะร้อนกว่านี้ พระอาทิตย์จะใกล้กว่านี้เท่าไร มันก็คงไม่ละลาย เหมือนกับใจของหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงนั้นแจจุงเดินกลับมานั่งที่เดิม เขาสังเกตุเห็นว่าหญิงสาวยังไม่ละสายตาไปเธอคิดอะไรอยู่นะฮีซอล...HeeSul TalK....นี่ใช่ไหมที่ใครเค้าเรียกว่าความรัก หรือว่าไม่ใช่ฉันเป็นอะไร ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ การที่ฉันพาตัวเค้ามาที่ๆสะดวกสบายกว่ามันไม่ดีเหรอ แล้วเค้าจะเป็นคนบอกฉันใช่ไหมว่านี่คือรักหรือเปล่าแจจุง ในหิมะมันมีอะไรหรือไง ทำไมถึงไปนอนอยู่ในนั้นทำไมถึงมองชั้นอย่างงั้นล่ะ สายตาอย่างงั้นมันคืออะไรทำไมถึงไม่เหมือนกับที่มองผู้หญิงคนนั้นเค้ารู้สึกตัวแล้วล่ะ ทำไมในใจฉันถึงรู้สึกแย่ๆนะ เพราะท่าทางของเขาดูไม่ค่อยสู้ดีเหรอ นี่คือความรู้สึกเหรอมันคืออะไรกันเรากำลังนั่งจ้องตากันแหละ ดวงตาของเค้าช่างสวยงามทำไมนะ ทำไมในตาดวงนั้นถึงดูไม่สดใสเหมือนครั้งแรกที่เจอเค้าหลบสายตาแล้วล่ะ อากาศที่นี่มันเป็นยังไงนะ ทำไมเค้าถึงดูไม่ค่อยดีเลยตอนนี้เรานั่งจ้องตากันอีกแล้ว รู้สึกไม่ค่อยเหมือนเดิมเลยแฮะเค้าเรียกว่าอะไรนะ อึดอัดเหรอถ้าฉันพูดอะไรออกไป แล้วเค้าจะดีขึ้นไหมนะ"หิวไหม" มันเป็นคำพูดที่แย่มากเลยแหละ เค้าต้องไม่ชอบแน่เลย"มีของที่คนกินได้ด้วยเหรอ" " "ชั้นไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี คิดไว้แล้วแหละว่ามันต้องแย่มากเลยมันฟังดูเหมือน ชั้นไม่ใช่มนุษย์...ทำไมใจถึงหวิวๆ สิ่งที่เค้าแสดงต่อเรามันคืออะไร ทำไมมันดูไม่เบิกบานเอาซะเลย เรียกว่าอะไรเหรอแล้วเมื่อไหร่ที่ราชินี จะเลิกถามตัวเองซักที ว่าความรู้สึกคืออะไร"ฮีซอล เธออยู่ไหน" ชั้นได้ยินเสียเค้าเรียก จึงรีบวิ่งไปที่ริมระเบียงชั้นไปยืนอยู่ข้างหน้าเค้า ตามปกติแล้วชั้นก็ไม่พูดอะไรอยู่แล้ว ใช้สายตาสื่อกันซะมากกว่า เพราะกลัวพูดออกไปแล้ว จะทำให้เค้าไม่ชอบ"ผมคิดว่า อย่างน้อย เราก็ไม่ควรนิ่งอยู่อย่างนี้ผมควรจะแก้ปัญหาของคุณ" คุณพูดอย่างนี้ หมายความว่าอยากจากชั้นไปเต็มทนแล้วใช่ไหมแจจุง____________บนนั้น บนดวงจันทร์ที่เหลืออร่ามนั่น มีกระต่ายมากมายกำลังวิ่งเล่นอยู่ใช่ไหม ถ้าได้ดูดวงจันทร์แบบนี้กับเค้าก็คงดีสินะมิเรนอนเอียงกายราบไปตามแนวเชิงเขา คนที่บอกว่าจะไปทำธุระส่วนตัว ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา เธอไม่ได้เป็นห่วงหรอกแค่ไม่อยากให้คนที่เป็นภาระของเธอมาถ่วงเวลาเข้าไปอีก"หายไปไหนนะ ยุนโฮ" ลมหนาวที่พัดมาทำให้ร่างบางเผลอหลับไปคนที่ถูกถามถึงก็ใช่ว่าจะไปไหนไกลหากแค่เธอลองสังเกตุสิ่งรอบข้างที่ถูกความมืดมิดบังไว้เธอคงจะเห็น เห็นมัน....ค่ำคืนที่ยาวนาน ใช่ว่าฤดูหนาวจะใกล้เข้ามาอาจจะเป็นเพราะว่าแถบนี้มันหนาวเย็นเลยทำให้กลางคืนนานกว่ากลางวันและค่ำคืนที่ยาวนานนั้น มันทำให้..........ร่างบางตื่นขึ้นจากความฝัน เธอหวังว่าจะเห็นชายหนุ่มนั่งอยู่ตัวเป็นๆตรงหน้า แต่กลับไม่มีแม้แต่เงาของมนุษย์ไม่หรอก!! มิเร นั่นมันแค่ความฝัน เธอฝันไปมิเรต่อไป คงต้องเริ่มที่จะปรับตัวแล้วล่ะมิเร ตอนนี้เธอไม่มีมนุษย์ผู้ชายที่ชื่อชองยุนโฮอยู่เป็นเพื่อนแล้วนะผมวิ่งหาเธอรอบปราสาท ที่นี่ไม่ใช่ที่ๆคุ้นเคยสำหรับผมเลยแต่ยิ่งผมแก้ปัญหาได้เร็วเท่าไหร่มันคงจะดี ผมคงจะได้กลับไปแต่ปัญหาตอนนี้มันอยุ่ที่ตัวปัญหาน่ะสิ หายไปไหนแล้วผมวิ่งหาเธออย่างนี้อยู่หลายวัน นานมากกว่าผมจะเจอเธอก็ปราสาทนี่มันใหญ่มากเลยน่ะสิ ผมอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้วล่ะเธอก็เป็นคนน่ารักดีนะ ถึงแม้เราจะไม่ค่อยได้คุยกันก็เถอะวันนี้เธอจะทำกับข้าวให้ผมกินล่ะ แต่เธอคงลืมไป ความร้อนของเตาทำให้น้ำแข็งละลาย แล้วน้ำก็หยดลงหัวเธอ เธอซื่อบื้อมากเลยล่ะน้ำหยดใส่หัวจนแฉะ แต่เธอก็ทำมันต่อไปส่วนอาหารของเธอน่ะเหรอ มัน เอ่อ มันแย่มากเลยล่ะผมต้องนั่งทำให้เธอใหม่ แต่เธอก็ไม่เหมือนคนที่อยู่แบบงอมืองอเท้าหรอกนะ นอกจากเรื่องครัวแล้วเรื่องอื่นเธอก็ชำนาญมากเลยล่ะวันนี้หิมะไม่ตก แต่คามหนาวก็ไม่จากไปผมชวนเธอออกมาสูดอากาศนอกตัวปราสาทบ้างเราเดินเล่นกันที่สวน มันจะสวยงามกว่านี้ถ้าสวนนี้ไม่มีแต่หิมะไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปอีกกี่วัน เธอก็ยังสง่าเช่นเดิม ฮีซอล...เพราะความผูกพันและใกล้ชิดเหรอ จึงทำให้ใจดวงนั้นเกือบจะลืมรักเก่าไป...ความรัก บางครั้งมันก็ไม่ต้องใช้เหตุผลมากนักหรอก แค่เพียงความรู้สึก แค่นั้นก็พอราชินีกับชายหนุ่มแทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย ทั้งอาทิตย์นับวันได้ที่คำพูดถูกเอ่ยออกมาจากปากทั้งสอง ไม่ได้มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น แต่ในเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันกลับมีคุณค่ายิ่งกว่าเวลาที่เนิ่นนาน


For :: SnOwQueeN.... หัวใจที่หล่อเลี้ยงมาจากน้ำแข็ง....ความทรงจำที่ขาวโพลน....ความรักที่ว่างเปล่า....ชีวิตที่เดียวดาย...จะถูกไขจากการปิดตาย

อ้างอิงจากhttp://www.yimsiam.com/club/board/topicRead.asp?wbID=narai101&id=000327