วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แฝด








ทั่วทุกมุมโลก ล้วนแต่มีการพยายามผ่าตัดแยกแฝดสยามออกจากกันส่วนใหญ่เพื่อช่วยชีวิตคนหนึ่งคนใดคำถามที่เกิดขึ้นในใจทุกครั้งที่อ่านข่าวเหล่านี้ก็คือเมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่งไว้ ใครควรเป็นคนเลือกและถ้าถึงเวลาต้องตัดสินใจทิ้งคนใดคนหนึ่งไป เราจะทิ้งใคร
NO ONE WANTS TO BE .....alone
เธอเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของฉัน เป็นความฝันส่วนหนึ่งของฉันไม่มีทางที่ฉันทอดทิ้งเธอไป ไม่มีวันไหนจะพรากจากกัน


เรื่องย่อ
อิหร่าน : กรกฎาคม 2546การผ่าตัดมาราธอน 50 ชั่วโมงล้มเหลว ทีมแพทย์ 28 ชีวิต และผู้ช่วยอีก 100 คน ไม่สามารถยื้อชีวิตของแฝดสกุลไบจานี แฝดสยามชาวอิหร่านวัย 29 ไว้ได้ หลังการพยายามผ่าตัดแยกศรีษะของทั้งคู่ ลาดานเสียชีวิตทันที และในอีก 90 นาทีต่อมา ลาเลห์ก็สิ้นลมตามพี่สาว
ออสเตรเลีย : พฤษภาคม 2544เบ็ททานี โนแลน แฝดสยามที่เกิดมาโดยไม่มีไต เสียชีวิตจากการผ่าตัดแยกศรีษะ และเยื่อสมองของเธออลิสสา โนแลน พี่สาว
บราซิล : ธันวาคม 2543ดิเอโก้ กับ ดิโอโก้ ฝาแฝดบราซิลวัย 10 วัน ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วนหลังคลอด ทีมแพทย์ระบุว่าในการผ่าตัดครั้งนี้ ทารกคนใดคนหนึ่งต้องเสียสละตับ เพื่อให้อีกคนมีชีวิตรอดต่อไป
กรุงเทพ : มีนาคม 2540แฝดสยามไทยรอดหนึ่ง ภายหลัง 20 ชั่วโมงในห้องผ่าตัดและอีก 34 ชั่วโมงในอาการโคม่า พิมและพลอย แฝดหญิงตัวติดวัย 15 ที่เข้ารับการผ่าตัดแยกท่องช้องและกระเพาะอาหารเป็นคู่แรกในเมืองไทย ผลปรากฏว่า พิมพี่สาวพ้นขีดอันตรายแล้ว ส่วนคนน้องนั้นเสียชีวิต
หลังพลอยตาย พิมเลือกที่จะละทิ้งความเจ็บปวด และความรู้สึกผิดไว้เบื้องหลัง หนีไปตั้งต้นชีวิตใหม่ที่เกาหลี ชีวิตของพิมพคนดำเนินต่อไปอย่างมีความสุขกับผู้ชายที่เธอเลือก ถ้าเสียงโทรศัพท์ในกลางดึกคืนหนึ่ง จะไม่ดึงให้เธอต้องห้วนกลับมาพบความหลังที่เธอทั้งผูกพัน และกลัวสุดขั้วหัวใจ
ข่าวจากเมืองไทยแจ้งว่า แม่ของเธอประสบอุบัติเหตุ พิมจึงรีบเดินทางกลับเมืองไทย แต่ทันทีที่เธอเหยียบย่างกลับเข้าบ้านหลังเก่า ความทรงจำในอดีตที่เธอแกล้งลืมมันไปก็ย้อนคืนมา
พิมกับพลอยเป็นแฝดสยาม



พิมยังจำวันที่เธอต้อง “ เชื่อมติด” กับพลอยด้วยก้อนเนื้ออัปลักษณ์ที่พันธนาการพวกเธอไว้ด้วยกันได้ดี เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นพิมเริ่มอึดอัด กับสภาพกึ่งตัวประหลาดนั่น ทำให้เธอร่ำร้องขอเข้ารับารผ่าตัดแยก แม้พลอยจะต่อต้านสุดชีวิต แต่การผ่าตัดเพื่อปลดทั้งคู่ออกจากกันก็เกิดขึ้น และผลของมันก็เลวร้ายสุดทน
ในบ้านหลังเดิมที่พิมเคยอาศัยสมัยเด็ก ข้าวของทุกอย่างของพิมและพลอยยังคงแน่นิ่งอยู่ในที่ของมัน รองเท้าเด็กสองคู่ ตุ๊กตาสองตัว เสื้อผ้าชุดติดกัน เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งไม่ไหลผ่านไป พิมเริ่มสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเก่า ๆ อีกครั้ง ความรู้สึกคล้ายมีคนอยู่ข้างกายตลอดเวลา ทุกลมหายใจ
คงจะดีกว่าถ้าพลอยจะเกลียดพิม จนไม่อยากกลับมาอยู่ข้าง ๆ ตัวพิมเหมือนเดิม
ทว่า ...พลอยยังคงอยู่ที่นี่ รอเธอและโกรธเธอ
หรือกระทั่งความตาย ก็ไม่อาจ แยก พลอยจากพิม


เบื้องหลังการถ่ายทำและการเตรียมงาน
ปี 2547 ชัตเตอร์ กดติดวิญญาน สร้างความสั่นสะท้านไปทั่ววงการภาพยนตร์ไทย และถือเป็นผลงานแจ้งเกิดให้กับผู้กำกับคู่หู โต้ง-บรรจง และ โอ๋-ภาคภูมิ ได้อย่างยอดเยี่ยม จากวันนั้นจนถึงวันนี้เกือบ 3 ปีแล้วที่เขาทั้งคู่ร่วมกันทำโปรเจกต์ใหม่ที่ใหญ่ขึ้นตามประสบการณ์ ด้วยความลงตัวที่เหมาะเจาะในการหวนกลับมารับงานแสดงภาพยนตร์อีกครั้งในรอบ 15 ปี ของชุปเปอร์สตาร์สาวเสียงคุณภาพ มาช่า วัฒนพานิช บวกทีมงานที่คุ้นเคยอย่าง GTH และผู้ร่วมผลิตที่มีรางวัลระดับโลกการันตีอย่างบริษัทฟีโนมีนา ร่วมด้วยบริษัท เดคดิเคท ผู้ผลิตภาพยนตร์อิสระน้องใหม่คุณภาพคับแก้ว ทำให้ภาพยนตร์เรื่องแฝด กลายเป็นภาพยนตร์ไทยอีกหนึ่งเรื่องที่ถูกจับตามองตั้งแต่เริ่มโปรเจกต์
ผู้กำกับเปิดใจ “ หลังจาก จบการโปรโมท ชัตเตอร์ฯ ช่วงที่ตระเวณเดินสายไปรับรางวัลในงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างประเทศ เราก็เริ่มมีไอเดียเรื่องแฝดขึ้นมา ตอนแรกโอ๋เขามาเล่าว่าเจอข่าวในหนังสือพิมพ์
มีข่าวดังเรื่องแฝดสยามของไทยคนหนึ่งมีรูปร่างปกติ แต่อีกคนมีแค่หัว ไม่มีร่างกาย ความรู้สึกแรกที่เห็นจะคล้ายสัตว์ประหลาด แต่รูปนี้กระทบความรู้สึกมาก ทำไมถึงเกิดความน่ากลัวและน่าขนลุกขนาดนี้ ทั้งที่เด็ก2คนนี้หน้าตาน่ารักมากเหมือนกันทุกอย่าง มีแค่ตัวเท่านั้นไม่เหมือนกัน เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการทำหนังเรื่องนี้ หลังจากวันนั้นเราก็อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับแฝดสยามเยอะมาก เราศึกษาว่าแฝดสยามอิน-จัน และฝาแฝด เขาดำรงชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างไร หาข้อมูลทุกอย่างมานั่งดู แฝดทั่วไปเขาจะมีจิตผูกพันกัน มีเรื่องแปลกๆ ที่คนทั่วไปไม่รู้เกี่ยวกับแฝด เราก็คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าประเด็นเรื่องแฝดสยามอยู่ในหนัง Horror Drama เลยปิ๊งไอเดียเรื่องการผ่าตัดแยกกัน ถ้าคนหนึ่งเสียชีวิต จะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่เหลืออยู่ เพราะเราเคยได้ยินความเชื่อที่เกี่ยวกับเรื่องฝาแฝดว่าเมื่อคนหนึ่งตายไป อีกคนหนึ่งก็จะตายโดนมีสาเหตุคลุมเครือ เป็นแค่ความเชื่อที่น่าสนใจมากเพราะมันมีความเชื่อมโยงบางอย่างที่น่ามหัศจรรย์ ”
เมื่อได้ไอเดีย ที่น่าสนใจแล้ว ผู้กำกับที่ไม่ใช่ฝาแฝดแต่ทำงานด้วยความรู้ใจกันยิ่งกว่าฝาแฝดก็รีบลงมือพัฒนาบทภาพยนตร์ทันที แต่ทุกอย่างก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดเมื่อบทที่พวกเขาฟูมฟักมาตลอด 7 เดือนต้องเริ่มต้นนับ 1 ใหม่ “ ตอนแรกเราพัฒนาบทไปคล้ายๆ ชัตเตอร์ฯ เป็นหนังสืบสวนสอบสวน บทสนุก มีความเป็นพล็อตสูง พล็อตเด่นกว่าตัวละคร แต่เราก็กลับมาคิดว่าทำเรื่องใหม่ถ้าเป็นทางเดิมมันเหมือนย่ำอยู่กับที่ เราก็เลยคิดใหม่ทำใหม่ง าน 7 เดือนที่ผ่านมาก็ทิ้งเลยเริ่มต้นนับ 1 กันใหม่ เดือนแรกเราแทบเอาเท้าก่ายหน้าผากกันเลย แต่ว่าเราก็มากันถูกทาง เราทำหนังเกี่ยวกับแฝดสยาม ประเด็นเรื่องแฝดสยามมีอะไรน่าสนใจ เอามาเล่นเป็นมุขผีได้เยอะ ทางใหม่กว่า ท้าทายกว่า แตกต่างกว่า และน่าสนใจกว่า ”
ประเด็น การคัดเลือกนักแสดงก็นับเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะได้นักแสดงแถวหน้าอย่างมาช่ามารับบทนำ
“ ตัวละคร ตัวนี้มีสำคัญมากเพราะต้องเป็นตัวนำเรื่องที่ค่อนข้างมีพลัง เราต้องการคนที่มีศักยภาพสูงสามารถเอาหนังทั้งเรื่องอยู่ ในที่สุดก็มาลงตัวที่มาช่า เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีความสามารถและเหมาะกับบทนี้ ประกอบกับเป็นช่วงที่เขาอยากกลับมาทำงานด้านภาพยนตร์อีกครั้ง ก็ถือว่าเป็นความเหมาะสมที่ลงตัวมาก พอเริ่มทำงานด้วยกันก็ไม่ผิดหวังเลย ยิ่งกว่าที่คิด ไว้ คิดว่าเขาสุดยอดแค่ไหน เขาให้ได้มากกว่านั้น มาช่าทุ่มเท ทำการบ้านอย่างหนัก พวกผมเขียนบทมาประมาณหนึ่ง แต่เวลากำกับจะมีทิศทางที่ชัดเจนพอสมควร แต่มาช่าเป็นคนที่ input ให้เราอีกหลายเท่า เขาเป็นคนเข้าใจหนังและช่วยคิดช่วยทำให้ดีกว่าเดิม หนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต จะมีการเล่าย้อนไปถึงวัยเด็กของมาช่ากับฝาแฝดเยอะมาก ซึ่งมาช่าเขาก็จะขอเทปช่วงวัยเด็กที่ถ่ายทำแล้วทั้งหมดไปดูด้วย เพื่อจะได้รู้เรื่องราวและตีความตามที่นักแสดงแฝดรุ่นเด็กเล่นไว้ ”


นอกจาก ซีนทางอารมณ์ต่างๆแล้ว แฝด ยังมีฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นเต้นอีกไม่น้อย แถมมาช่ายังออกตัวขอเล่นเองทุกฉากแบบไม่กลัวอันตรายเลยทีเดียว “ มีฉากที่มาช่าต้องขับรถชนแล้วต้องหัวกระแทกกับพวงมาลัย เราบอกให้กระแทกแบบพองาม ปรากฏว่า มาช่าเอาหัวกระแทกจริง คนอัดเสียงบอกว่าเสียงดังมาก แล้วเล่นไป 3 เทค เขาชนจริงหัวโนแดงมาก บางฉากแอ็คติ้งโค้ชเขาจะเตือนว่า มาช่าล้มไม่ได้นะ มันจะอันตรายมาก เจ็บมาก แต่มาช่าจะฟังว่าพวกผมต้องการอะไรไม่ร่วมเถียง พอเราบอกว่าโอเคพร้อมถ่าย สุดท้ายเขาทำอย่างที่พวกผมบอกอย่างที่พวกผมต้องการหมดทุกอย่าง บางทีเถียงกันอยู่ เขาก็จะช่วยแก้ปัญหาบอกว่าเดี๋ยวทำให้ ทั้งไฟไหม้ จมน้ำ เจ็บตัว หกล้ม ตกบันได ปกติเขาจะไม่เอานักแสดงหลักมาเล่นฉากเสี่ยงแบบนี้ มันอันตรายมาก มาช่าก็กลัวนะแต่เขาขอเล่น อยากให้งานออกมาดีที่สุด บางซีน อินเซิร์ทมือ อินเซิร์ทขา แต่ต้องใช้อารมณ์ต่อเนื่องจากการแสดง เห็นแค่มือยังรู้ว่าเขาเล่นดีมาก เขาเป็นสุดยอดแห่งความทุ่มเท ทุกครั้งที่เล่นจบ ทุกคนในกองจะปรบมือให้เสมอ ”
นับเป็น ความโชคดีของพวกเขา ที่ได้นักแสดงคุณภาพมาช่วยขับเคี่ยวให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้มข้นขึ้น แต่อีกหนึ่งอย่างที่ไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าความสามารถของนักแสดง นั่นก็คือฉากต่างๆในภาพยนตร์ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี และก็นับเป็นโชคดีซ้ำซ้อนที่พวกเขามีโอกาสได้ร่วมงานกับโปรดักชั่นดีไซน์ระดับเซียน
“ บ้านที่สร้าง เราได้พี่ตั้ม (ศักดิ์ศิริ จันทรังษี) โปรดักชั่นดีไซน์ที่ได้รับการยอมรับทั้งในและต่างประประเทศผู้สร้างสรรค์ผลงานของภาพยนตร์เรื่อง Invisible wave ทวิภพ ฯลฯ มาทำบ้านให้ เรื่องนี้บ้านคือหัวใจและเป็นอดีตของตัวละคร ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนพระเอกอีกคนหนึ่ง จากบทต้องเป็นบ้านยุคโคโลเนียล สมัยยุครัชกาลที่ 7 ภายในตัวบ้านมี 10 ห้อง สร้างใหม่ทั้งหลังเซทใหม่ทั้งหมดสวยมากเขาต้องมานั่งคิดโครงการ เพราะมันไม่ใช่แค่สร้างบ้านธรรมดาต้องสวยและสามารถอยู่ได้จริงทุกห้อง ที่สำคัญต้องแข็งแรงด้วย เพราะมันต้องเผาจริง เผาแล้วต้องไม่ถล่ม ต้องเซฟนักแสดง และทีมงาน แต่สุดท้ายต้องเผ่าบ้านทิ้งทั้งหมด เพราะมีซีนไฟไหม้บ้านทั้งหลัง จะเห็นว่าบ้านเซทมาขนาดนี้ ไฟไหม้ก็ต้องเต็มที่ บางฉากไฟสวยซะจนมีคนถามว่าทำ ซีจีหรือเปล่า แต่ไฟในหนังเรื่องนี้เป็นไฟไหม้จริงทั้งหมด เราได้ทีมไฟมืออาชีพที่เคยทำ Black Hawk down – Hollywood มาทำให้ เราก็เลยได้ฉากไฟไหม้ที่อลังการ และยืนยันว่าไหม้จริง และตัวแสดงก็ต้องเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย ทุกคนต้องอยู่ในไฟและไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ที่จะมาควบคุมไฟได้ ต้องรอบคอบกันมากๆ ซึ่งพอตอนถ่ายทำจริงๆ บางคนไม่เคยเห็นไฟเยอะขนาดนี้มาก่อน ตากล้องแทบจะทิ้งกล้องกันเลย ถ่ายวันแรกผมเข้าไปนั่งอยู่ในห้องข้างๆ ที่จะถ่าย พอมันไฟมันไหม้ขึ้นมาแล้วมันร้อนมาก จนเราอยู่ไม่ได้ ทีมงานที่ไม่จำเป็นต้องออกมาจากเซททั้งหมด เหลือแต่ทีมที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น เฉพาะฉากไฟไหม้อย่างเดียวก็ถ่ายทำกัน 6 - 7 วันแล้ว เห็นในหนังไม่นาน แต่ว่าถ่ายทำแต่ละ shot มันยากมาก ”
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีความยากและซับซ้อนมากยิ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าความยากเหล่านั้นไม่สามารถบั่นทอนความมุ่งมั่นของผู้กำกับรุ่นใหม่แต่คู่เก่าอย่างพวกเขาให้ลดน้อยลงได้ ตรงกันข้ามพวกเขายิ่งเพิ่มความท้าทายลงไปในงานของตัวเองมากขึ้น
“ สำหรับ หนังเรื่องนี้ ผมรับรองว่าคนที่เคยชอบชัตเตอร์ฯจะไม่ผิดหวังกับแฝด เพราะความสนุกบน ความระทึกขวัญและ ความตื่นเต้นที่เคยได้รับ ในเรื่องนี้ยังครบถ้วน เพียงแต่เราเพิ่มความลึกและความเข้มข้นของดราม่าเข้าไปอย่างเต็มที่ มันโตขึ้นในรายละเอียด ”
ถือว่า เป็นหนังที่รวมเอาความสุดยอดมาอยู่ร่วมกันได้มากที่สุดอีกเรื่องหนึ่ง ส่วนภาพยนตร์จะสุดยอดแค่ไหนพวกเขาพร้อมจะให้ทุกคนเข้าผ่าแยกผลงานของพวกเขาได้อย่างละเอียดแล้ว และไม่ว่าผลของการผ่าแยกจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็พร้อมที่จะฟังผลนั้นด้วยใจจดจ่อ


มาช่าเผยความยากลำบากกับบทบาทใหม่
ไม่ น่าเชื่อว่าผ่านมากว่า 10 ปีแล้ว ที่นักแสดงมากความสามารถอย่าง มาช่า วัฒนพานิช ไม่ได้แสดงภาพยนตร์ ทั้งๆที่แจ้งเกิดมาจากภาพยนตร์ แต่กลับไปโลดแล่นและโดดเด่นในวงการเพลง จนกลายเป็นศิลปินที่มีเพลงฮิตติดปากคนทั้งประเทศมากที่สุดคนหนึ่ง การกลับมาแสดงฝีมือบทจอเงินครั้งนี้ จะเข้มข้น เข้าขั้น และฮิตติดตาคนทั้งประเทศได้มากแค่ไหน เธอพร้อมให้พิสูจน์
“ ช่า รับบทเป็นพิม บทบาทจะค่อนข้างโรคจิตเล็กๆ เพราะเกิดจากความกดดัน และความรู้สึกผิดที่ต้องผ่าตัดแยก จนทำให้แฝดอีกคนหนึ่งต้องสียชีวิต จนบางทีดูเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่อาจจะทำอะไรในมุมที่แปลกๆ เพราะฉะนั้นการแสดงระหว่างที่ถ่ายทำไม่ต้องคิดถึงซีนหัวเราะเลย มากที่สุดก็จะเป็นยิ้มแค่นั้น เพราะหนังมันจะตื่นเต้นตลอดเวลา แต่สิ่งที่ยากกว่าสำหรับตัวช่าคงเป็นเรื่องของการแสดงให้พร้อมกับเทคนิค นื่องจากหนังเรื่องนี้เป็นหนังสยองขวัญ เพราะฉะนั้นมันจะต้องมีเทคนิคอะไรต่างๆเข้ามาประกอบด้วย แล้วพวกเทคนิคเหล่านี้จะค่อนข้างยาก ต้องใช้ความพร้อมและจังหวะเดียวกัน บางทีนักแสดงแสดงได้ แต่แสดงกับเอฟเฟกต์ไม่ได้ มันก็จะทำให้ทำงานยากขึ้น ในแง่ของการแสดงช่าไม่ได้ห่างหายไปไหน เพราะว่าช่าก็เล่นละครหรือทำอะไรอยู่ตลอดเวลา 10 ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งมาเจอหนังเรื่องนี้ช่ารู้สึกว่าน่าสนใจดี แล้วการกลับมาเล่นภาพยนตร์ ช่าพบว่ามันเปลี่ยนไปเยอะมาก รู้สึกว่ามันมีเสน่ห์มากขึ้นเพราะว่าแสงที่จัดหรือความละเอียดอ่อนเกี่ยวกับแสงและภาพมันสวยและให้ความรู้สึกจริงกว่า เป็นอะไรที่คลาสสิค รู้สึกว่าดีใจมากที่ตัวเองได้กลับมาเล่นภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่ง และยังได้ร่วมงานกับทีมงานมืออาชีพที่ทำด้วยแล้วมีความสุข แม้ว่ามันจะเหนื่อยมาก เพราะว่าช่านำเรื่องอยู่ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ แต่ว่ามันก็เป็นความเหนื่อยที่ไม่ได้ทุกข์ใจแต่กลับทำให้รู้สึกมีความสุข ”
นอกจาก จะได้แสดงความสามารถแบบเต็มที่แล้ว มาช่า ยังต้องแสดงร่วมกับ อั๋น-วิทยา ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อภาพยนตร์เรื่องนี้


“ สำหรับ การแสดงกับคุณอั๋น-วิทยา เราก็เคยร่วมงานกันมาก่อนแต่ว่าเป็นมิวสิควีดีโอ ซึ่ง ระยะเวลามันสั้น ๆ เราก็จะยังไม่คุ้นเคยกันมากนัก แต่พอมาเล่นเรื่องนี้ เราต้องเล่นเป็นสามี-ภรรยา ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ต้องมีความสนิทสนมกัน ต้องซ้อมด้วยกันบ่อย ๆ เพื่อให้รู้สึกว่าการจับการสัมผัส การคุยอะไรกันต้องไม่เคอะเขิน สักพักหนึ่งพอเข้าทางกันได้ก็ยิ่งสนุก ถ้าถามว่าหนังจะให้อะไรบ้าง ช่าคิดว่าสิ่งหนึ่งที่ได้เลยคือความสยอง ขวัญ แน่ ๆ เพราะมันเป็นเมนของหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว แล้วด้วยความที่ผู้กำกับ โต้ง-โอ๋ เขาเคยฝากผลงานอย่างชัตเตอร์ฯมาแล้ว เท่าที่ช่าดูมันน่ากลัวมากนะ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เขาทั้งสองคนก็เต็มที่กับมันมาก ในแง่ของการแสดงช่า เชื่อว่านอกจากความน่ากลัวแล้ว ช่าพยายามแสดงบทบาทของตัวละครนี้ให้มีความเป็นดราม่า มีเนื้อเรื่องด้วย ไม่ใช้วิ่งกลัวผีไปวันๆ ช่าคิดว่าหนังทุกวันนี้ นอกจากจะสยองขวัญแล้ว มันน่าจะมีโรแมนติกหรือความเป็นดราม่าอยู่ในนั้น ซึ่งตรงนี้ช่าก็พยายามถ่ายทอดความรู้สึกของพิมออกมาให้ดีที่สุด ถ้ามีเกียร์ 5 หนังเรื่องนี้ช่าเข้าเกียร์ 6 เลย คือกดเต็มแมคเลย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ช่าคาดหวัง คืออยากจะให้คนที่ไปดูตรงนั้นได้ดูหนังเรื่องนี้ แล้วรู้สึกเต็มอิ่มกับมัน ดูเสร็จแล้วออกมาประทับใจกับสิ่งที่เราได้ทำตลอดระยะเวลาเกือบปี ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น